“ดาวโจนส์” ปิดบวก 144 จุด ขานรับตัวเลขจ้างงานสูงเกินคาด

“ดาวโจนส์” ปิดบวก 144 จุด ทำ “ออลไทม์ไฮ” ขานรับข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.64 ของสหรัฐฯ สูงเกินคาด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ส.ค.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนขานรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ และมองข้ามความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่กำลังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,208.51 จุด เพิ่มขึ้น 144.26 จุด หรือ +0.41% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,436.52 จุด เพิ่มขึ้น 7.42 จุด หรือ +0.17% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,835.76 จุด ลดลง 59.36 จุด หรือ -0.40%

สำหรับในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 0.78%, ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 0.94% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.10%

นอกจากนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 943,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 845,000 ตำแหน่ง จากระดับ 938,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 5.40% ในเดือนก.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 5.70% หลังจากแตะระดับ 5.90% ในเดือนมิ.ย.

อีกทั้งข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 1.10% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากพุ่งขึ้น 1.30% ในเดือนพ.ค. ขณะที่ยอดขายในภาคค้าส่งพุ่งขึ้น 2.00% ในเดือนมิ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.80% ในเดือนพ.ค. และเจ้าของธุรกิจจะใช้เวลา 1.22 เดือนในการขายสินค้าจนหมดสต็อก ลดลงจากระดับ 1.23 เดือนในเดือนพ.ค.

อย่างไรก็ตามหุ้น 4 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยหุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นมากที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์นับตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง

นอกจากนี้การเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐได้ช่วยหนุนตลาดด้วย โดยหุ้นอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป พุ่งขึ้น 4.70% หลังเปิดเผยผลกำไรไตรมาส 2 สูงเกินคาดเมื่อวันพฤหัสบดี และหุ้นคอร์ทีวา พุ่ง 8% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้สุทธิในปีนี้

ส่วนบรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การประชุมของผู้นำเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิงในวันที่ 26 – 28 ส.ค.นี้ เพื่อหารือด้านนโยบายการเงินและกำหนดกลยุทธ์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต

Back to top button