“ดีบีเอสฯ” ชู 5 หุ้นพลังงานตัวท็อป ลุ้นเด้งรับ “ดีมานด์น้ำมัน-ปิโตรฯ” พุ่ง

หุ้นกลุ่มพลังงาน” ถูกประเมินค่าต่ำ หลังดีมานด์น้ำมันดิบ-ปิโตรเคมีฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โบรกฯ มีมุมมองเชิงบวก เชียร์ “ซื้อ” 5 หุ้นเด่น คาดว่าจะได้รับอานิสงส์ GPSC-PTTEP-IVL-TOP-PTG ส่องแนวโน้มผลประกอบการเติบโต


นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มหุ้นในกลุ่มพลังงานจะฟื้นตัวจากราคาน้ำมันดิบและปิโตรเคมีที่สูงขึ้น ประกอบกับความต้องการใช้เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวชัดเจน ขณะที่การจัดอันดับภาคพลังงานไทยมีการประเมินมูลค่าที่ถูกลง โดยอยู่ที่ 15.5 เท่า ของประมาณการกำไรในปี 2564 เทียบกับดัชนี SET ซึ่งอยู่ที่ 19 เท่า และเทียบกับภาคพลังงานของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ที่ 17 เท่า

ทั้งนี้ นอกจากบริษัทพลังงานจะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับสูงแล้ว ในส่วนของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจพลังงานหมุนเวียน จะได้รับประโยชน์จากแผนพลังงานแห่งชาติ ที่ภาครัฐปรับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น รวมถึงการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้นด้วย

ขณะเดียวกัน คาดว่าธุรกิจอะโรเมติกส์จะยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากเบนซีน (BZ) คงคลังในจีนอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ความต้องการใช้สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ การดูแลสุขภาพ การดูแลบ้าน และวัสดุบรรจุภัณฑ์ ฟื้นตัวอย่างมาก หลังเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19

โดยยังคงมองหุ้นพลังงานที่ได้รับผลบวกและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ให้ราคาเป้าหมาย 98 บาท และบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ให้ราคาเป้าหมาย 156 บาท เนื่องจากมองว่าการดำเนินธุรกิจยังคงรับผลบวกจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะ GPSC ที่จะได้รับโอกาสอย่างมากจากแผนพลังงานแห่งชาติ ขณะที่ผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงไตรมาส 3/2564 ไม่มากนัก เนื่องจากมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว

สำหรับ PTTEP จะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มสูงขึ้นท่ามกลางการฟื้นตัวของดีมานด์น้ำมันทั่วโลก และคาดว่าในช่วงไตรมาส 3/2564 บริษัทน่าจะมีกำไรจากธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง เนื่องจากคาดว่าราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น

ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ด้วยราคาเป้าหมาย 59 บาท ซึ่งคาดว่า 60% ของธุรกิจจะได้ประโยชน์จากความต้องการใช้ PET ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการขยายธุรกิจไปทั่วเอเชีย ยุโรป และสหรัฐฯ จะทำให้บริษัทชดเชยกำไรขั้นต้นที่ลดลงในเอเชีย โดยจะมีกำไรจากสหรัฐฯ และยุโรปเข้ามาชดเชย

นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจโรงกลั่น ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ให้ราคาเป้าหมาย 67 บาท เนื่องจากมีต้นทุนเงินสดในการดำเนินงานต่ำที่สุด และยังมีความยืดหยุ่นในการกลั่นมากกว่า และการลงทุนในอะโรเมติกส์ซึ่งมีความแข็งแกร่ง ดังนั้นคาดว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบน้อยสุดจากค่าพรีเมียมน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสถานีบริการน้ำมัน ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ให้ราคาเป้าหมาย 22 บาท เนื่องจากมีสถานีบริการน้ำมันเพียงไม่กี่แห่งอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงบริษัทมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง

Back to top button