WFX โชว์ 9 เดือนแรกกำไรพุ่ง 218% โบรกชี้พื้นฐานเด่น ชูเป้า 12.40 บ.

WFX โชว์ 9 เดือนแรกกำไรพุ่ง 218% ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คาดผลงานปี 65-66 ทะยานต่อ รับแผนเพิ่มกำลังการผลิต-ขยายตลาดใหม่-ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ฟากนักวิเคราะห์ประเมินพื้นฐานโดดเด่น ให้ราคาเป้าหมาย 12.40 บ.


บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ WFX เปิดเผยผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกปี 2564 มีรายได้รวม 2,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 874 ล้านบาท หรือ 51% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,715 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129 ล้านบาท หรือ 218% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

โดยผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องมาจากแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ก่อนหน้านี้ โดยการเจาะตลาดใหม่ๆ สร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพที่มีความหลากหลาย การขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตที่วางแผนไว้ส่งผลให้บริษัทสามารถผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านขนาดและคุณภาพที่แตกต่างกันไป ทำให้สามารถรองรับความต้องการที่แตกต่างของเส้นด้ายยางยืดได้เพิ่มขึ้นทั้งจากฐานลูกค้าเดิมและการขยายฐานลูกค้าใหม่

รวมถึงสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าประเภทผู้ใช้งานโดยตรง (End-user) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทสามารถจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าประเภทผู้ใช้งานโดยตรง (End-user) ได้ในราคาที่สูงกว่ากลุ่มลูกค้าประเภทผู้จำหน่ายสินค้า (Distributor) ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นบางส่วนของอุปสงค์ของเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบแป้งซึ่งเป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น สายคล้องหน้ากากผ้า ยางยืดขอบชุด PPE และหมวกคลุมผมทางการแพทย์ เป็นต้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์หุ้น WFX โดยระบุว่า WFX เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ในโลก มีผลิตภัณฑ์เส้นด้ายยางยืดครอบคลุมในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้า โดยสินค้าของบริษัทจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศภายใต้แบรนด์ของบริษัทเอง

โดยกลุ่มลูกค้าหลักคือประเทศจีนคิดเป็นประมาณ 75% ของรายได้รวม โดยผลการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในช่วงเติบโตจากการใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ รวมถึงชิงส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งจากความได้เปรียบในด้านต้นทุนยางพาราธรรมชาติที่ถูกกว่าคู่แข่ง เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก

ทั้งนี้ หลังจากได้เงินจากการเพิ่มทุนบริษัทฯมีแผนจะนำไปขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าของบริษัทที่มีมาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากอีกทั้งการเพิ่มกำลังการผลิตจะช่วยให้ Net margin ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจาก economies of scale รวมถึงความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าหุ้น WFX ที่ 12.40 บาท/หุ้น ด้วยวิธี 2022E PER ที่ 18 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม Fashion โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯจะเติบโตได้โดดเด่นจากธุรกิจแผนขยายกำลังการผลิตต่อเนื่อง โดยใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนบริษัทจึงใช้กลยุทธ์เชิงรุกเข้าไปเจาะกลุ่มตลาดใหม่มากขึ้น

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2565 สำหรับ WFX ที่ 10.10 บาท – 11.50 บาท ซึ่งคำนวณโดยอิง PER ปี 2565 ที่ 15 -17 เท่า เท่ากับหุ้นในกลุ่มสิ่งทอในจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท เนื่องจากไม่มีหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯที่ดำเนินธุรกิจเช่นเดียวกันกับบริษัท

โดยมองว่า WFX มีศักยภาพในการเติบโต และได้เปรียบคู่แข่งด้านวัตถุดิบ เพราะมีสินค้าที่ครอบคลุมทุกขนาด ตอบสนองความต้องการได้หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานไม่นานนัก ต้องมีการเปลี่ยนแทน หรือใช้แล้วทิ้ง อีกทั้งบริษัทยังมีความได้เปรียบด้านการเข้าถึงวัตถุดิบ เพราะโรงงานผลิตของบริษัทอยู่ในประเทศไทย ซึ่งไทยเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้น อันดับ 1 ของโลก ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเส้นด้ายยางยืด รวมทั้งการที่มี บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำยางข้นในไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ช่วยให้บริษัทเข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการ

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมิน Fair value สิ้นปี 2565 ที่ 11.34 บาท อ้างอิงวิธี P/E 17 เท่า ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีของอุตสาหกรรมแฟชั่น (SETFASH Index) -0.25SD โดยเลือกเฉพาะระดับที่อยู่ในช่วงเวลาปกติไม่เกิน 100 เท่า เพื่อความ Conservative

พร้อมกันนี้ได้ประเมินว่า WFX มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น จากแผนการเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้ง สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายชนิดมากขึ้นทั้งในด้านขนาดและคุณภาพตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทสามารถกำหนดราคาขายด้วยอัตรากำไรที่สูงขึ้นได้รวมถึงคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าประเภทผู้ใช้งานโดยตรง (End-user) ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่ากลุ่มลูกค้าประเภทผู้จำหน่ายสินค้า (Distributor)ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น

อนึ่ง WFX เตรียมเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 116.44 ล้านหุ้น รวมทั้งเสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานจำนวน 14.2 ล้านหุ้น อีก 11.36 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิมของ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน TRUBB ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรวมกันราว 30.59% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO จำนวนทั้งหมด 464.2 ล้านหุ้น

Back to top button