FSSIA ชู ESSO-BCP ท็อปพิก! รับ 2 เด้ง ค่าการกลั่น-น้ำมันพุ่ง

“สุวัฒน์” ชี้ราคาน้ำมันพุ่งกระทบต้นทุนปิโตรเคมี ขณะที่หุ้นโรงกลั่นฯ ที่พ่วงปั๊มน้ำมัน รับแรงหนุนค่าการกลั่นพุ่งแรง ชู ESSO-BCP เด่นสุดในกลุ่ม มีโอกาสเห็นราคาเด้งครั้งใหญ่ในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า เคาะราคาเป้าหมาย ESSO ที่ 12 บาท และ BCP 40 บาท  ส่วน TOP-SPRC รอจังหวะซื้อสะสมเมื่อย่อตัว


นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (FSSIA) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้น” ออกอากาศทางช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30 ว่า สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน หากมองในทางเศรษฐกิจจะแย่ลง เนื่องจากราคาพลังงานปรับขึ้น ทั้งน้ำมันและก๊าซฯ รวมทั้งอาหารและปุ๋ยที่แพงขึ้น แต่หากมองในด้านผลบวก จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันที่จะได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่น (GRM) ที่สูงขึ้นอย่างมาก โดยมองว่าโรงกลั่นฯ ที่พ่วงสถานีบริการน้ำมัน จะรับประโยชน์มากที่สุด จึงเลือกบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เป็น Top pick ในกลุ่ม

ทั้งนี้เนื่องจากมองว่า ESSO และ BCP ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นฯ พ่วงสถานีบริการน้ำมัน สามารถจำหน่ายน้ำมันที่กลั่นเองได้ ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างมากทั้งกลุ่มเบนซินและดีเซล ขณะที่น้ำมันอากาศยาน (เจท) จะทยอยฟื้นตัว คาดว่ามีโอกาสเห็นราคาหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นฯ ปรับขึ้นครั้งใหญ่ 20-30% ในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ดังนั้นแนะนำ “ซื้อสะสม” ตอนราคาย่อตัวลง โดย ESSO ขณะนี้ราคาอยู่ที่ 8-9 บาท และคาดว่าจะไม่หลุด 8 บาท ให้ราคาเป้าหมาย 12-12.5 บาท ขณะที่ BCP จากราคาปัจจุบัน 30 บาท ให้ราคาเป้าหมาย 36-40 บาท

ขณะที่รองลงมาคือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ก็รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจาก TOP ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มทุน ประกอบกับทางซาอุฯ ปรับขึ้นราคาน้ำมันดิบที่ส่งขายให้กับประเทศไทยหลังจากรัสเซียประสบปัญหาด้านการส่งออกน้ำมัน ซึ่งพบว่า TOP ซื้อในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงมีผลลบบ้าง แต่เชื่อว่าภายหลังจากที่มีการเปิดเมืองมากขึ้น TOP จะได้รับประโยชน์อย่างมากจากดีมานด์น้ำมันเจทที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ SPRC ยังมีข้อกังวลเรื่องน้ำมันรั่ว ราคาหุ้นช่วงนี้จึงไปได้ไม่ไกลนัก ดังนั้นแนะนำ TOP จากปัจจุบันแนวต้านอยู่ที่ 54-55 บาท ราคาเป้าหมาย 65 บาท และ SPRC ราคาเป้าหมาย 11-12 บาท

อย่างไรก็ตามในส่วนของโรงกลั่นฯ ที่พ่วงปิโตรเคมีนั้น มองว่าจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่ปรับสูงขึ้น อย่าง บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รวมถึงมาร์จิ้นถูกกดดันจาก oversupply ในปี 2565-2567

ทั้งนี้การเลือกหุ้นโรงกลั่นฯ ซึ่งอยู่ขั้นปลายการผลิต มองว่าอยู่เหนือกลุ่มต้นน้ำจากคาดการณ์ความต้องการที่สูงขึ้นเหนือกำลังการผลิตทั้งฝั่งน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยมองว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2565-2567 จะอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐ, 90 เหรียญสหรัฐ และ 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ นอกจากนี้ยังปรับเพิ่มค่าการกลั่นสิงคโปร์ขึ้นประมาณ 11-17% ในปี 2565-2567 เป็น 10 เหรียญสหรัฐ, 8 เหรียญสหรัฐ และ 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากเดิมที่คาด 9 เหรียญสหรัฐ, 7 เหรียญสหรัฐ และ 6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ดังนั้นจึงเลือก ESSO และ BCP เป็นหุ้น Top pick จากหุ้นโรงกลั่นทั้งหมดในไทย

“เลือก ESSO และ BCP เป็น Top pick ในกลุ่ม ซึ่งเป็นผู้ผลิตขั้นปลายและมีสถานีบริการน้ำมันเป็นของตัวเองจากปัยจัยหลัก คือ 1. มีอัพไซด์จากค่าการกลั่นที่แข็งแกร่งในปี 2565 ขับเคลื่อนโดยมาร์จิ้นของแก๊สโซลีน ดีเซล และน้ำมันเจท ที่สูงกว่าต้นทุนน้ำมันดิบดูไบ 2. มีความเสี่ยงต่อน้ำมันดิบในตะวันออกกลางน้อย เนื่องจากใช้น้ำมันดิบจากตะวันออกกลางน้อยกว่า TOP, SPRC และ IRPC อยู่มาก ทำให้ได้รับผลกระทบจำกัดจากการขึ้นราคาขายของซาอุฯ ที่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น นอกจากนี้ ESSO และ BCP ไม่มีความเสี่ยงต่อสินค้ากลุ่มอะโรเมติกส์ เหมือนอย่าง TOP, IRPC และ PTTGC ที่มาร์จิ้นถูกกดดันจาก oversupply ในปี 2565-2567” นายสุวัฒน์ กล่าว

Back to top button