GTG เปิดตัวสกินแคร์กัญชง “บาล์มอเนกประสงค์” หนุนรายได้ปี 65 โตเข้าเป้า 300 ลบ.

GTG เปิดตัว “บาล์มอเนกประสงค์” สินค้ากัญชงดูแลผิว ในงาน “RAKSA CBD EVENT BY GTG” หนุนรายได้ปี 65 โต 300 ลบ.


นายกฤษณ์ ธีรเกาศัลย์ กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล กรุ๊ป จำกัด หรือ GTG เปิดเผยว่า บริษัทมีความพร้อมทำตลาดกัญชงเชิงพาณิชย์ในประเทศอย่างเต็มรูปแล้วภายหลังจากการการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กัญชงภายใต้ชื่อ “RAKSA” (รักษา) เป็นสายพันธุ์ของตนเองด้วยกระบวนการปลูกที่มีคุณภาพและมาตรฐานในโรงปลูกที่ผ่านการรับรองจาก FDA จนสามารถนำส่วนของดอกที่มีคุณภาพมีส่วนประกอบของสาร THC ต่ำกว่า 0.2% ตามที่กฎหมายกำหนดและยังมีสาร CBD 15.8% จนได้เป็นสารสกัด RAKSA CBD Full-Spectrum คุณภาพสูงรายแรกของเอเชียซึ่งใช้เวลาวิจัยและพัฒนามานานกว่า 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2562

โดยบริษัทมองว่าการกระตุ้นความต้องการหรือดีมานด์ในตลาดประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันกัญชงให้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศนอกเหนือจากการรักษาคุณภาพและมาตรฐาน โดยมีหัวใจสำคัญคือการสร้างการรับรู้และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อเกิดการบอกต่อและซื้อซ้ำ ผ่านกลยุทธ์การสร้างการรับรู้ทดลองผ่านงานโรดโชว์ทั่วประเทศไปพร้อมกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์โปรดักส์

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัว “CBD Everyday Balm” หรือ “บาล์มอเนกประสงค์” ในมหกรรม “RAKSA CBD EVENT BY GTG” ซึ่งเป็นคอนซูเมอร์โปรดักส์ตัวแรกในกลุ่มสกินแคร์ซึ่งผลิตจากสารสกัด RAKSA CBD Full-Spectrum ที่คงสารธรรมชาติทั้งหมดของพืชสกุลกัญชงไว้ครบถ้วนรายเดียวของเอเชียที่สกัดจากกัญชงสายพันธุ์ไทยภายใต้ชื่อ “RAKSA” (รักษา)  โดยภายในงานมหกรรม “RAKSA CBD EVENT BY GTG” ได้ยกขบวนสินค้าและบริการที่ผลิตจากสารสกัด RAKSA CBD Full-Spectrum เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองชิมและใช้ผลิตภัณฑ์จากกัญชงของ GTG และจากพันธมิตรทางธุรกิจ และยังรวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของกัญชง

สำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “CBD Everyday Balm บาล์มอเนกประสงค์” มีเป้าหมายทำการตลาดในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป (Consumer) เป็นหลัก เพื่อให้ได้ทดลองใช้และสัมผัสสรรพคุณด้านการรักษาของสายพันธุ์กัญชง RAKSA CBD Full-Spectrum ของ GTG ในวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากจัดเป็นสินค้าที่คนไทยนิยมมีไว้ติดบ้านและพกติดตัวตลอดเวลา เหมาะสำหรับตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ อีกทั้งยังเป็นสินค้าราคาย่อมเยา ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงสรรพคุณด้านการรักษาจนเกิดการบอกต่อในช่วงครึ่งปีหลัง GTG จะเปิดตัวในกลุ่มเครื่องดื่ม อาหาร และตลอดทั้งปีนี้ตั้งเป้าเปิดตัวสินค้าเพิ่มเติมอีกกว่า 10 รายการ เพื่อสร้าง Economy of scale ของตลาดกัญชงในภาคธุรกิจอื่นๆ ทั้งกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ยาเวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อปูทางต่อยอดขยายกลุ่มลูกค้าไปในตลาด B2B ในอุตสาหกรรมเหล่านี้

อย่างไรก็ดีตลาดกัญชงในประเทศไทยมีมูลค่ามหาศาลตามมูลค่าตลาดสุขภาพความงามและการแพทย์ เนื่องจากเป็นสมุนไพรธรรมชาติที่มีสรรพคุณด้านการรักษาสามารถตอบโจทย์เทรนด์ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติหรือออแกนิคที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียล กลุ่มแม่และเด็ก และผู้สูงอายุ ที่มีการขยายตัวประมาณ 20% ในช่วงปี 2560-2564

สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยธนาคารกรุงศรีที่ระบุเอาไว้ว่าใน 2564 คาดว่าอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีกัญชงผสมจะมีมูลค่า 280 ล้านบาท รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารจากกัญชง 240 ล้านบาท ยาและอาหารเสริมจากกัญชง 50 ล้านบาท เครื่องแต่งกายที่ทำด้วยใยกัญชง 30 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลประเมินว่ายังอยู่ในช่วงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวจะมีการนำกัญชงไปใช้มูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท รวมทั้งคาดการณ์ว่าตลาดกัญชงไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 15,770 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2568 หรือเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 126% ต่อปี  ซึ่งในปีนี้ GTG ตั้งเป้ารายได้ 270 – 300 ล้านบาทและเฉลี่ยเติบโตปีละ 55% และอีก 3 ปีคาดว่าจะสามารถมีส่วนแบ่งทางการตลาดได้ถึง 6.3% จากมูลค่ารวมของตลาดสินค้ากัญชงไทย

“ปัจจัยสำคัญของการสนับสนุนให้กัญชงในประเทศเพื่อเป็นบันไดก้าวแรกของการผลักดันกัญชงให้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศได้สำเร็จ จำเป็นจะต้องสนับสนุนให้มีการใช้สารสกัดจากกัญชงในตลาดสินค้าคอนซูเมอร์อย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในกลุ่ม เครื่องสำอาง ของใช้ดูแลส่วนบุคคลในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน แชมพู รวมไปถึงกลุ่มยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสร้างความเข้าใจและการรับรู้เพื่อตอบโจทย์ตลาดสินค้าคอนซูเมอร์ว่าสารสกัด CBD จากกัญชงไม่ใช่สารมึนเมาอีกต่อไป แต่เป็นส่วนประกอบที่มีสรรพคุณในการรักษาและดูแลสุขภาพจากธรรมชาติ และหัวใจสำคัญคือการรักษาคุณภาพและมาตรฐานของกัญชงไทยเพื่อสร้างมูลค่าให้กับกัญชงให้ยืนอยู่ในตลาดได้อย่างยั่งยืน” นายกฤษณ์ กล่าวเสริม

Back to top button