กกร.คงกรอบ GDP ปี 65 โต 2.5-4% แนะรัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้น ศก.

กกร.เห็นชอบคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ขยายตัว 2.5% - 4 % ตามกรอบเดิมที่ตั้งเป้า แม้จะมีปัญหาเงินเฟ้อกดดัน แต่การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวเกินคาด พร้อมเสนอรัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และตรึ่งราคาน้ำมันช่วยกลุ่ม SMEs


นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เปิดเผยผลการประชุมประจำเดือนพฤษภาคม 2565 ว่า กกร.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน โดยเฉพาะด้านเงินเฟ้อและต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น แม้แนวโน้มการท่องเที่ยวจะดีขึ้นกว่าประมาณการเดิม ซึ่งความเสี่ยงในระดับสูง ทำให้ที่ประชุม กกร.คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวได้ 2.5% – 4% ซึ่งอยู่ในกรอบเดิม หากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอยู่ในระดับที่เหมาะสม และคงประมาณการการส่งออกในปี 2565 ว่าจะยังขยายตัวในกรอบ 3% – 5% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 ว่าจะขยายตัวในกรอบ 3.5% – 5.5%

จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเงินเฟ้อ และสถานการณ์ความขัดแย้งจากยูเครน-รัสเซีย กกร.จึงเสนอให้ภาครัฐเข้ามาดูแลเรื่องเศรษฐกิจอย่างจริงจัง เพื่อช่วยประคับประคองภาคธุรกิจ รักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs และประชาชน ในช่วงไตรมาส 2 -3 ของปี 2565 ก่อนที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เต็มที่มากขึ้นในช่วงปลายปี จากทั้งภาระค่าครองชีพ ต้นทุนการผลิตหรือการขนส่ง และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

โดยแบ่งมาตรการออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ มาตรการดูแลต้นทุนการผลิตและสภาพคล่อง ผ่านการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน ขยายเวลาการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ดีเซลลง 3 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 3 เดือน ลดต้นทุนวัตถุดิบนำเข้า อาทิ ลดภาษีนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ, เพิ่มโควตานำเข้า เสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ อาทิ เร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันทีและเร็วที่สุด, มาตรการเงินกู้, ดอกเบี้ยต่ำ

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส 5 ขยายจำนวนสิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ รวมถึงธุรกิจสถานบันเทิง การลดภาระให้กับผู้ประกอบการ อาทิ ภาษีที่ดินและ สิ่งปลูกสร้างไม่ควรคิดเบี้ย, ปรับเงินเพิ่มสำหรับคนที่ชำระภาษีล่าช้า, การเปิดประเทศโดยสมบูรณ์, การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ, การจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยว และการดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสม

ส่วนการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้น กกร. มองว่า ภาครัฐควรคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ ความสามารถของภาคธุรกิจ ประสิทธิภาพแรงงาน ในแต่ละจังหวัด ซึ่งประเทศไทยอยู่ในช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด ทำให้การปรับอัตราค่าแรงที่สูงเกินขีดความสามารถของผู้ประกอบการ จะเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการด้านต้นทุนการผลิตให้เพิ่มพุ่งสูงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าได้ กกร.จึงขอเสนอให้ใช้กลไกของคณะกรรมการค่าจ้าง โดยมีคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด (คณะกรรมการไตรภาคี) ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ทำหน้าที่พิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามความเหมาะสมของเศรษฐกิจในพื้นที่แต่ละจังหวัด รวมทั้งนำกลไกการปรับขึ้นค่าแรงในลักษณะตามทักษะการทำงาน Pay by Skill และมาตรฐานฝีมือแรงงานมาประกอบการพิจารณาในการปรับขึ้นค่าแรงงาน

Back to top button