โบรกเชียร์ “ซื้อ” OR หลังกำไร Q1 โต 63% สูงกว่าคาด มอง Q2 ดีต่อเนื่อง FSSIA ชูเป้า 36 บ.

โบรกเชียร์ “ซื้อ” OR หลังกำไรไตรมาส 1/65 โต 63% ดีเกินคาด รับอานิสงส์รายได้ขายเพิ่มจากปริมาณขายน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลไปยังโรงไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น มอง Q2 ดีต่อเนื่อง FSSIA ชูเป้า 36 บ.


นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ประเมิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 36 บาท ซึ่งในไตรมาส 1/2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 3.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิสูงกว่าที่ Bloomberg consensus คาดการณ์ไว้ 12% และสูงกว่าที่ FSSIA คาดการณ์ไว้ 3%

โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิมีสาเหตุมาจาก กำไรจากธุรกิจน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณขายน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลไปยังโรงไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ควบคู่กับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่ปริมาณการขายก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน รวมทั้งผลกระทบจากการตรึงราคาดีเซลของรัฐบาล ส่วน EBITDA ในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท โดยที่ 4.8 พันล้านบาท มาจากกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ที่ได้รับแรงหนุนจากค่าการตลาด (MM) ที่เพิ่มสูงขึ้นมาที่ 1.14 บาท/ลิตร เพิ่มจาก 0.98 บาท/ลิตร เมื่อไตรมาส 4/2564 แต่ลดลงจาก 1.31 บาท/ลิตร ในไตรมาส 1/2564

สำหรับภาคธุรกิจน้ำมันมีปริมาณขายน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 6.7 พันล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2565 เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาเริ่มใหม่อีกครั้ง ถึงแม้จะยังเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 ก็ตาม ขณะที่ปริมาณค้าปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากบริษัทได้เปิดปั๊มน้ำมันเพิ่ม 5 แห่ง และปริมาณขายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องที่เพิ่มขึ้น

ด้าน EBITDA ของธุรกิจน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.9% จากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 2.1% และเพิ่มขึ้น 4.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าการตลาดสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น โดยปริมาณขายน้ำมันเฉลี่ยนแต่ละสถานีน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 1.14 ล้านลิตร ในไตรมาสที่ 1 เนื่องจากปริมาณการขายปลีกที่สูงขึ้น

ส่วนภาคธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากน้ำมัน EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 1.4 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 27% จากงวดเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลมาจาก EBITDA ของร้าน Cafe Amazon ที่สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนและสามารถทดแทนปริมาณขายที่ลดลงเหลือ 83 ล้านแก้วได้ ซึ่งลดลง 5% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากโปรโมชั่นที่น้อยลง

ขณะเดียวกันมาจิ้น EBITDA ของภาคธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน เพิ่มขึ้นเป็น 28.3% ในไตรมาสที่ 1/2565 สูงขึ้นจาก 23.70% จากไตรมาสก่อน และสูงขึ้น 26% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสามารถขายกาแฟที่มีอัตรากำไรสูงได้มากขึ้น

ทั้งนี้ ณ สิ้นสุดไตรมาส1/2565 บริษัทมี Cafe Amazon ทั้งหมด 3,685 สาขา เพิ่มขึ้น 2 จากไตรมาสก่อน, ร้าน Texas Chicken มี 95 สาขา ลดลง 1 จากไตรมาสก่อน และร้านสะดวกซื้อ มี 2,081 แห่ง เพิ่มขึ้น 6 จากไตรมาสก่อน

นอกจากนี้บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” OR โดยทิศทางกำไรในไตรมาส 2/2565 ของ OR คาดว่าจะดีต่อเนื่อง เนื่องจากยอดขายน้ำมันยังอยู่ในทิศทางที่ดีตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเดินทางท่องเที่ยว และความต้องการใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาจากโรงไฟฟ้า รวมถึงจากธุรกิจ Lifestyle ที่ผู้คนออกมามีกิจกรรมนอกบ้านตามปกติ แต่ Marketing Margin อาจมีทิศทางอ่อนลงตามต้นทุนน้ำมันช่วงท้ายไตรมาส 1 ที่สูงขึ้นมากทำให้การบริหารกำไรอาจไม่ดีเท่าไตรมาส 1/2565 ซึ่งมองว่าทิศทางกำไรที่ออกมาดีและ Outlook ที่ดีต่อเนื่องน่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้น หลังจากปรับตัวแย่กว่าหุ้นพลังงานอื่นๆ

Back to top button