ITC ระดมทุนผ่าน SET ปีนี้ หวังผงาดขึ้นผู้นำผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของโลก

“ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น” หรือ ITC ระดมทุนใน SET ปีนี้ พร้อมเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานทุกด้าน ต่อยอดธุรกิจผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของโลก


จากวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจที่ต้องการ “สร้างโลกแห่งความสุขให้สัตว์เลี้ยงได้เจริญเติบโตด้วยสุขภาพที่สมบูรณ์ที่สุด” ของ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC (ไอ-เทล) ซึ่งถือเป็นบริษัท Flagship ของกลุ่มไทยยูเนี่ยน ที่ผู้ประกอบธุรกิจผลิต และจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก ที่กำลังเตรียมเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ภายในปี 2565

โดย ไอ-เทล จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 660 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 22% ของหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ประกอบด้วย การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน  จำนวน 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ที่ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 99.78% จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น ซึ่งหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นจะเหลือสัดส่วนถือหุ้น 78% ซึ่งปัจจุบัน หลัง ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในไตรมาส 4 ของปี 2565

จากหน่วยธุรกิจเล็กๆ ก้าวสู่บริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง Top 10 ของโลก “พิชิตชัย วงศ์ปิยะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ITC  ให้สัมภาษณ์กับ  “ข่าวหุ้นธุรกิจ”  ว่า ไอ-เทล เริ่มก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2520 จากทีมงานกลุ่มเล็กๆ ในกลุ่มไทยยูเนี่ยน ที่เล็งเห็นโอกาสในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับปลาทูน่าในทุกส่วน จนเติบโตสู่ “ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 2 ของเอเชีย และติด 1 ใน 10 ของโลก” ด้วยมาตรการจัดการสุขลักษณะที่ดีในสถานประกอบการ (GMP) , มาตรฐานระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (HACCP) และมาตรฐานของประเทศอื่นๆ ทำให้มีฐานลูกค้าทั่วโลกใช้บริการ เมื่อลูกค้าเติบโต ไอ-เทล ก็เติบโตตาม “ในอนาคตมองธุรกิจไอ-เทลเติบโตต่อเนื่องในตลาดโลก”

การขยายแบรนด์ของ ไอ-เทล ยังคงมีการขยายแบรนด์นวัตกรรมใหม่ๆ ต่อเนื่อง จากเดิมที่มีแบรนด์ Bellotta อาหารและขนมแมวพรีเมี่ยม Marvo อาหารสุนัข Change Ter อาหารและขนมแมวดีต่อไต Calico Bay อาหารแมวฉบับชาวเกาะ และ Paramount อาหารสุนัขส่วนผสมธรรมชาติ แต่หลักๆเป็นการสร้างแบรนด์เพื่อเป็นแพลตฟอร์มในการทดลองนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และทดลองตลาดให้กับลูกค้า “เราซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และไม่คิดสร้างแบรนด์มาแข่งลูกค้า”  โดยธุรกิจหลักของบริษัทในปัจจุบันคือการรับจ้างผลิตหรือ OEM โดยเน้น Co-Creation ไม่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และขายตามสูตรสำเร็จ แต่ร่วมพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความต้องการของสัตว์เลี้ยง และสะท้อนตัวตนลูกค้าที่เป็นเจ้าของแบรนด์มากกว่าสร้างแบรนด์เพื่อให้ลูกค้าเห็นถึงศักยภาพในการผลิตมากกว่า ที่สำคัญลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงติด Top 5 ของโลกเป็นลูกค้าในพอร์ต และเติบโตมาพร้อมกับ ไอ-เทล ยาวนานกว่า 10-20 ปี

โดยสัดส่วนรายได้ของ ไอ-เทล มีสัดส่วนอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียก 85% ขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง 14% และที่เหลือเป็นอาหารชนิดอื่นๆ ภายใต้รายการผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายทั้งหมด 4,809 ชนิด ซึ่งไอ-เทล มีข้อได้เปรียบในเรื่องของวัตถุดิบ และต้นทุนราคาวัตถุดิบ ภายใต้การดูแลของบริษัทผู้ผลิต และส่งออกทูน่ารายใหญ่ของโลกของกลุ่มไทยยูเนี่ยน และประเทศไทยยังเป็นมีการส่งออกปลาทูน่าเป็นอันดับ 1 และเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่แปรรูปอันดับ 3 ของโลก บวกกับการสนับสนุนวัตถุดิบอื่นๆจากพันธมิตรผู้จำหน่ายวัตถุดิบ 5 อันดับแรกที่อยู่ร่วมกับบริษัทมานานกว่า 34 ปี ดังนั้นวัตถุดิบจึงมีคุณภาพสูง และหมุนเวียนสม่ำเสมอ

“ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 4 ของโลกรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา เยอรมัน และฝรั่งเศส สะท้อนถึงเครือข่ายผู้ผลิตรายอื่นๆ ในประเทศไทยรวมถึง ไอ-เทล ที่มีศักยภาพ และข่วยกันผลักดันอุตสาหกรรมให้เติบโตทุกปี”

ระดมทุนขยายธุรกิจในไทย-ต่างประเทศ

สำหรับวัตถุประสงค์หลักในการใช้เงินจากการระดมทุนเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.ใช้เป็นเงินลงทุนในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ด้วยการปรับปรุงโรงงานที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.สงขลาให้ทันสมัย และขยายโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการ สำหรับปัจจุบันโรงงานที่ จ.สมุทรสาคร มีกำลังการผลิต 98,150 ตันต่อปี และ จ.สงขลา มีกำลังการผลิต 74,636 ตันต่อปีผลิต

2.ลงทุนในระบบคลังสินค้า และติดฉลากอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บ และความรวดเร็วในกระบวนการบรรจุผลิตภัณฑ์ สำหรับโรงงานที่จ. สมุทรสาคร และระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ สำหรับโรงงานที่ จ.สงขลา 3.ลงทุนในโรงงานใหม่ในบริเวณเดียวกับโรงงานที่จ.สมุทรสาคร โดยจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ 18.7% ของกำลังการผลิตรวม และกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2566

4.ลงทุนในโครงการวิจัยและพัฒนา (R&D) นวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ของบริษัท และของลูกค้าที่บริษัทรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่งในปี 2564 มีสัดส่วนถึง 98.8%  5.ลงทุนขยายธุรกิจจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศจีน และทวีปยุโรป เพื่อประสานงาน และให้บริการลูกค้า รวมถึงเพิ่มการลงทุนในบริษัทย่อยที่ประเทศญี่ปุ่น 6.ชำระคืนเงินกู้ยืมให้แก่สถาบันการเงิน และ 7.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ

โดยไอ-เทล มีแผนที่จะเจาะตลาดประเทศจีนร่วมกับคู่ค้ามากขึ้น หลังมองเห็นแนวโน้มในอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดอาหารแมวและสุนัขประเทศจีนจะขยายตัวเฉลี่ย 20% ต่อปี จากในอดีต 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดประเทศจีนขยายตัวเฉลี่ย 20% ต่อปี โดยวางเป้าหมายจะขยายสัดส่วนส่งออกไปยังตลาดประเทศจีนเพิ่มขึ้น จากเดิมมีสัดส่วน 3% ของยอดขายรวม

โชว์ผลงาน3ปีรายได้โตเฉลี่ย 15%

ผลการดำเนินงานของไอ-เทลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีรายได้เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี โดยในปี 2562 มีรายได้รวม 10,955 ล้านบาท ปี 2563 มีรายได้รวม 12,224 ล้านบาท  ปี 2564 มีรายได้รวม 14,529 ล้านบาท และงวด 6 เดือนของปี 2565 มีรายได้รวม 9,707 ล้านบาท ซึ่งมีตลาดหลักมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศในทวีปยุโรป รวมถึงสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น จีน ไทย ประเทศในทวีปเอเชีย โอเชียเนีย  และมีความตั้งใจที่จะผลักดันให้ผลการดำเนินงานปี 2565 เติบโตเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา โดยสูงกว่าตลาดรวมอาหารสัตว์เลี้ยงที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า

“ไอ-เทล มีความตั้งใจที่จะรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิไว้ได้  โดยล่าสุดงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 มีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย 23% ถือว่าความสามารถในการทำกำไรค่อนข้างโดดเด่น เมื่อเทียบกับผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรายใหญ่ Top 5 ของโลก เนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุนรวมได้ดี ทั้งปลาทูน่าที่เป็นวัตถุดิบหลัก กระป๋อง และแพ็กเกจจิ้ง ภายใต้กลุ่มไทยยูเนี่ยน และเน้นผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยม”

เน้นดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ไอ-เทล มีนโยบายในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) โดยบริษัทได้นำกลยุทธ์ SeaChange® ของกลุ่มไทยยูเนี่ยนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงคำนึงถึงผลกระทบการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) ซึ่ง ไอ-เทล มีการดำเนินโครงการเพื่อลดคาร์บอนไดออกไซด์ลง 10,000 ตันต่อปี อย่างไรก็ตาม ไอ-เทล มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นปีละ 2 ครั้ง ในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ตามงบการเงินรวมหลังจากการหักเงินสำรองตามกฎหมาย

 

ที่มา: ข้อมูลตลาดตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกและการจัดอันดับเชิงมูลค่าอ้างอิงจาก Frost &Sullivan,

 www.petfoodindustry.com ณ ปี 2564

ข้อมูลทางการเงินของบริษัท จากงบการเงินเสมือนสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562, 2563, 2564 และ สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และ 2565

การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

Back to top button