“พาณิชย์” เตือนผู้ส่งออกรับมือ หลัง “สหรัฐ-อียู” จ่อเก็บ “ภาษีคาร์บอน”

“สหรัฐ-อียู” เตรียมจัดเก็บ “ภาษีคาร์บอน” ฟาก “พาณิชย์” แนะผู้ส่งออกเร่งหามาตรการรับมือโดยการปรับกระบวนการผลิตลดการปล่อยคาร์บอน และจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการส่งออก


นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการติดตามความเคลื่อนไหวของประเทศคู่ค้าของไทย พบว่า สหรัฐและสหภาพยุโรป (อียู) อยู่ระหว่างยกร่างกฎหมายกำหนดมาตรการจัดเก็บภาษีการปล่อยคาร์บอน หรือก๊าซเรือนกระจกกับสินค้าที่กระบวนการผลิตส่งผลให้เกิดการปล่อยคาร์บอนในปริมาณสูง

ขณะที่สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐได้เสนอร่างกฎหมาย Clean Competition Act (CCA) ตั้งเป้าเก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้าที่กระบวนการผลิตมีการปล่อยคาร์บอนปริมาณสูง โดยเสนอให้ผู้ผลิตของสหรัฐและผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีคาร์บอน 55 เหรียญสหรัฐ ต่อการปล่อยคาร์บอน 1 ตัน หากกระบวนการผลิตสินค้ามีการปล่อยคาร์บอนเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด

โดยจะบังคับกับสินค้า อาทิ เชื้อเพลิงฟอสซิล, ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นปิโตรเลียม, ปิโตรเคมี, ปุ๋ย, ไฮโดรเจน, กรดอะดิพิก, ซีเมนต์, เหล็กและเหล็กกล้า, อะลูมิเนียม, กระจก, เยื่อกระดาษและกระดาษ และเอทานอล ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2567 และภายในปี 2569 จะขยายให้ครอบคลุมสินค้าสำเร็จรูปที่มีสินค้าข้างต้นเป็นส่วนประกอบในการผลิต ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าว ยังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวุฒิสภา

นางอรมน กล่าวว่า สำหรับสหภาพยุโรปยังอยู่ระหว่างการออกมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ซึ่งจะนำร่องเก็บภาษีกับสินค้า 8 ชนิด ที่นำเข้ามาจำหน่ายในสหภาพยุโรป ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า ไฮโดรเจน เคมีภัณฑ์ และพลาสติก ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการผลิตสินค้าต่างๆ โดยคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2570

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบร่างกฎหมาย CCA ของสหรัฐกับมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป พบว่า ทั้งสองมาตรการมีเป้าหมายเดียวกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่มีส่วนที่แตกต่างกัน อาทิ มาตรการ CBAM จะใช้บังคับกับสินค้านำเข้าเท่านั้น และจะเก็บภาษีคาร์บอนที่เกิดขึ้นทั้งหมด ส่วนร่างกฎหมาย CCA จะใช้บังคับกับสินค้าที่ผลิตภายในประเทศและสินค้านำเข้า และจะเก็บภาษีคาร์บอนเฉพาะส่วนที่เกินกว่ากำหนดเท่านั้น

“ปัจจุบันประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยเตรียมบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีคาร์บอนเพิ่มขึ้น โดยจะส่งผลต่อไทยซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ผู้ผลิตสินค้าไทยควรเตรียมพร้อมรับมือกับมาตรการดังกล่าว โดยเร่งปรับกระบวนการผลิตลดการปล่อยคาร์บอนตลอดห่วงโซ่อุปทาน และจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการส่งออก

นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ จะต้องเร่งพิจารณายกระดับระบบกลไกราคาคาร์บอนที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล เพื่อลดภาระการจ่ายภาษีหรือซื้อใบรับรองการปล่อยคาร์บอนที่ผู้ผลิตไทยต้องจ่ายให้กับต่างประเทศด้วย” นางอรมน กล่าว

Back to top button