PCC เปิด 7 แผนขับเคลื่อนธุรกิจ ดันผลงานโตยั่งยืน ตอกย้ำผู้นำ “สมาร์ทกริด”

“พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น" หรือ PCC กางแผน 7 โครงการขับเคลื่อนธุรกิจอนาคต ดันผลงานโตยั่งยืน ตอกย้ำผู้นำ “สมาร์ทกริด” พร้อมเข้าเทรด SET วันแรก 21 ต.ค.65


นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PCC เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจการลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก ดังนี้ 1.สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ในระบบจำหน่ายไฟฟ้า งานบริหารโครงการ งานบริการ งานบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าทั้งแรงต่ำและแรงสูง และระบบบริหารจัดการพลังงาน ให้มีประสิทธิภาพ 2.สายธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสายส่งไฟฟ้าแรงสูง พร้อมผลิตติดตั้งระบบควบคุมสำหรับระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ และผลิตมิเตอร์อัจฉริยะ และ 3.สายธุรกิจลงทุนผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และผลิตเชื้อเพลิงจากพืชพลังงาน และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

โดย PCC มีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 307 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 25.03 ของจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่ 4 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) เท่ากับ 19.16 เท่า มูลค่าเสนอขายรวม 1,228 ล้านบาท และกำหนดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)  วันที่ 21 ตุลาคม 2565 ในกลุ่มอุตสาหกรรม ทรัพยากร พลังงานและสาธารณูปโภค

สำหรับการวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้นำไปใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และโครงการในอนาคต 2.ใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน และ 3. ใช้สำหรับการชำระเงินกู้จากสถาบันการเงิน ประมาณ 600 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ประมาณ 1.6 เท่า และภายหลังการชำระหนี้ในครั้งนี้คาดว่าจะช่วยลด D/E ให้เหลือเพียง 1.3 เท่า

โดยโครงการในอนาคตของบริษัทฯ มี 7 โครงการ ประกอบด้วย 1. ตั้งศูนย์การขายและการตลาด (Group Integration Sale & Marketing Center) ใช้เป็นสำนักงานขายสำหรับฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด นอกจากนี้ยังเป็น point of sale ของกลุ่มบริษัท เพื่อขยายยอดขายของกลุ่มบริษัท เนื่องจากบริษัทเพิ่ม scale ของการผลิตในสินค้าเดิมและขยายสินค้าใหม่

2. โครงการเพิ่มกำลังการผลิตของหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย โดยที่เพิ่มกำลังการผลิต 3 เท่า หรือคิดเป็นกำลังการผลิตรวมประมาณ 1,080 MVA ต่อปี ภายในปี 2567

3. โครงการเพิ่มกำลังการผลิตตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้าและตู้โลหะสำหรับ ตู้สวิตช์เกียร์ ตู้สวิตช์บอร์ด และตู้อุปกรณ์ควบคุมอื่นๆ เพื่อขยายกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับโครงการที่กล่าวไปข้างต้น และการเพิ่มการผลิตของตู้สวิตช์เกียร์ ตู้สวิตช์บอร์ดในอนาคต

4. ตั้งโรงงานผลิตในประเทศกัมพูชา โดยผลิตสินค้าหม้อแปลงไฟฟ้า หม้อแปลงเครื่องวัด และตู้ควบคุมไฟฟ้าชนิดต่างๆ ในประเทศกัมพูชา เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนในฐานะผู้ผลิตในประเทศ และได้รับการส่งเสริมการลงทุน สำหรับขายสินค้าดังกล่าวโดยตรงกับการไฟฟ้ากัมพูชา คาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตได้ภายในปี 66

5. โครงการติดตั้งระบบจัดการพลังงาน (Factory Energy Management) มีแผนติดตั้งระบบบริหารจัดการพลังงาน เพื่อควบคุมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็น pilot project เพื่อนำเสนอลูกค้าภายนอกในอนาคต

  1. โครงการธุรกิจปลูกพืชกัญชงในระบบปิด อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ภายใต้รูปแบบการปลูกในโรงเรือนระบบปิด เพื่อขายช่อดอกแห้งตามมาตรฐานทางการแพทย์ให้แก่องค์กรเภสัชกรรม

7.โครงการธุรกิจไผ่ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ อาทิ โรงผลิตกล้าไผ่ ซึ่งบริษัทฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการสร้างโมเดลกล้าไผ่ เพื่อให้ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงเข้ามาศึกษาระบบ ก่อนกระจายและส่งต่อกล้าไผ่ให้ชาวบ้านช่วยปลูกในพื้นที่ รวมทั้งการจัดทำสินค้าบรรจุภัณฑ์จากเยื่อไผ่แบบปลอดสารเคมี ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และจัดตั้งโรงงานผลิต

ทั้งนี้ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี และความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี ทำให้บริษัทฯ สามารสร้างสมาร์ทกริดได้อย่างครอบคลุม โดยบริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ได้อย่างสม่ำเสมอทั้งในส่วนของการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ในระบบจำหน่ายไฟฟ้า งานรับเหมาก่อสร้าง และจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ซึ่งรายได้มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิต และโรงงานใหม่ในกัมพูชา อีกทั้งจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนระยะยาวของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ที่มีแผนการลงทุนเกือบ 2 แสนล้านบาท ในส่วนเฉพาะสมาร์ทกริด ในรอบระยะเวลา 10-17 ปี

ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้าไบโอแมส ที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องขาดแคลนวัตถุดิบอย่างแน่นอน เนื่องจากมีการรับซื้อต้นยางพาราจากชาวบ้านในพื้นที่เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบมาอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 65 มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากช่วง 6 เดือนแรกของปี 65 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,727 ล้านบาท เติบโต 15.3% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,498 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 134 ล้านบาท เติบโต 67.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 80 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิ 7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีอัตรากำไรสุทธิ 5.4%

Back to top button