
MASTER มั่นใจครึ่งปีหลังฟื้น รายได้ “ศัลยกรรม” พุ่งรับไฮซีซั่น
MASTER มองครึ่งปีหลังสดใส คาดไฮซีซั่นหนุนรายได้ศัลยกรรมโตต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้านำเงินขายไอพีโอ 2.2 พันล้าน ขยายลงทุนต่อเนื่อง หวังสร้างผลตอบแทนภายใน 3–5 ปี
นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER เปิดเผยในงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 ว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล 494.89 ล้านบาท ลดลง 15.27 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการศัลยกรรมลดลง 18 ล้านบาท แต่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการดูแลผิวพรรณ 4.5 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 52.77 ล้านบาท ลดลง 32.33 ล้านบาท หรือ 37.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทมีรายได้รวม 969.22 ล้านบาท ลดลง 9.01 ล้านบาท หรือ 0.92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากการศัลยกรรมและการดูแลหลังศัลยกรรมลดลง 29 ล้านบาท แต่มีรายได้จากการดูแลผิวพรรณเพิ่มขึ้น 8.7 ล้านบาท และรายได้จากการปลูกผมและดูแลเส้นผมเพิ่มขึ้น 14 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 108.53 ล้านบาท ลดลง 82.81 ล้านบาท หรือลดลง 43.28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นางสาวลภัสรดา กล่าวว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายในสินค้าหรือบริการที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน หนึ่งในนั้นคือการทำศัลยกรรม ซึ่งเปรียบเสมือน “ปัจจัยที่ 5” โดยมีกลุ่มผู้บริโภคที่ยังคงต้องทำทันที กับอีกกลุ่มที่เลือกชะลอออกไปเมื่อเศรษฐกิจผันผวน
สำหรับกรณีความขัดแย้งไทย–กัมพูชา แม้กัมพูชาจะเคยเป็นหนึ่งใน Top 5 ตลาดลูกค้าต่างชาติ แต่ความตึงเครียดดังกล่าวส่งผลให้รายได้ไตรมาส 2 หดตัวราว 3% และหากสถานการณ์ยืดเยื้อ คาดว่าปลายปีรายได้อาจหายไป 4–5%
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิล (AVG./BILL) ในกลุ่มศัลยกรรมลดลง 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากลูกค้าหลายรายชะลอการตัดสินใจเพื่อรอดูสถานการณ์ แต่บริษัทยังคงคาดหวังว่าในไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซั่น หากไม่มีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม รายได้มีโอกาสกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้
นอกจากนี้ ในส่วนของการโฆษณาที่ถูกสั่งให้ระงับ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์มาใช้การไลฟ์ขายสินค้าแทน ส่งผลให้สามารถดึงลูกค้ากลับมาได้ทันที พร้อมทั้งดำเนินการยื่นขออนุญาตตามกฎระเบียบใหม่อย่างถูกต้อง
บริษัทได้นำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ประมาณ 2,200 ล้านบาท ไปใช้ในการลงทุน โดยตั้งเป้าความคุ้มค่าในระยะ 3–5 ปี ทั้งนี้ แม้ธุรกิจศัลยกรรมจะดูเหมือนเป็นธุรกิจที่สามารถเข้ามาได้ง่าย แต่ความท้าทายอยู่ที่การควบคุมคุณภาพและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า บริษัทจึงไม่เพียงลงทุนร่วมกับพันธมิตร แต่ยังปรับระบบการทำงานทั้ง “หน้าบ้าน” และ “หลังบ้าน” โดยเฉพาะระบบหน้าบ้านที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด “ข้อร้องเรียน”
ทั้งนี้ เดิมบริษัทตั้งเป้ากำไรจากพาร์ทเนอร์ไว้ที่ 50 ล้านบาท แต่ได้ปรับประมาณการลงมาอยู่ที่ราว 30 ล้านบาท โดยเป็นการประเมินในกรณีเลวร้ายที่สุด (Worst Case) ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตได้มากกว่านี้ทั้งในกรณีฐาน (Base Case) และกรณีดีที่สุด (Best Case)
การปรับประมาณการดังกล่าวเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. การลงทุนก่อสร้างและขยายสาขาโรงพยาบาลใหม่ ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และต้องบันทึกค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ใหม่ซึ่งกดดันกำไรระยะสั้น 2. แรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจมหภาค และ 3. กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัว ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับลดงบประมาณด้านการตลาด โดยประมาณการว่าในช่วงครึ่งปีหลัง หากภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว จะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น