ABM ผนึก “แอท เอนเนอจี” ขยายธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวล

ABM ร่วมกับ “แอท เอนเนอจีฯ” ขยายธุรกิจสีเขียว สร้างศูนย์กลาง Energy-Transformation โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านพลังงานชีวมวล รวมทั้งสนับสนุน ส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ โรงงานอุตสาหกรรมที่ดำเนินการขายไอน้ำให้ โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี ตั้งแต่ 24 พ.ย.65-23 พ.ย.67


นางสาวธิญาดา เมฆพงษ์สาทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย ไบโอแมส จำกัด (มหาชน) หรือ ABM เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ (24 พ.ย.65) ได้ลงนามร่วมกับบริษัท แอท เอนเนอจี โซลูชั่น จำกัด หรือ AT Energy ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในโครงการ Energy Transformation เพื่อแสดงถึงความร่วมกันในการให้บริการลูกค้าที่ติดตั้ง Boiler กับทาง AT Energy ซึ่งจะเลือกใช้เชื้อเพลิงชีวมวลของ ABM ทั้งนี้จึงได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขึ้น

โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้

1.เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการเปลี่ยนเชื้อเพลิงฟอสซิลมาสู่กลุ่มเชื้อเพลิงที่เป็น Carbon-Neutral

2.ร่วมกันส่งเสริมและขยายผลการประยุกต์องค์ความรู้สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวมวลให้เหมาะสมกับความต้องการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรม

3.ศึกษาการนำไปใช้ การรับรองปริมาณ และการแลกเปลี่ยน Carbon-credit เพื่อเตรียมความพร้อมภาคอุตสาหกรรมสู่การเป็น Net-zero Emission

4.เพื่อร่วมพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งระยะยาวในการเป็นกลุ่มผู้นำธุรกิจเอกชนด้านพลังงานสะอาด

สำหรับกรอบแนวทางของความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อสร้างศูนย์กลาง Energy-Transformation โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและเพื่อสร้างความร่วมมือทางด้านพลังงานชีวมวลระหว่าง ABM กับ AT Energy รวมทั้งสนับสนุนและส่งเสริมด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเชื้อเพลิงชีวมวลให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ AT Energy เข้าไปดำเนินการขายไอน้ำให้ โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.65- 23 พ.ย.67

“ในส่วนของการ MOU ครั้งนี้จะส่งเสริมให้ทั้งสองบริษัทได้ใช้ความเชี่ยวชาญที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยจะร่วมมือกันจัดหาแหล่งวัตถุดิบ เพื่อนำมาผลิตและจำหน่ายให้กับลูกค้าได้ตรงตามความต้องการ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ามีความพึงพอใจสูงที่สุด” นางสาวธิญาดา กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันรัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังในส่วนของการใช้พลังงานสะอาดแก้ปัญหาสภาพอากาศลดอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจก ซึ่งบริษัทฯ ในฐานะผู้นำในการให้บริการจัดหาและจัดจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวมวลหลากหลายประเภทให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงชีวมวลในกระบวนการผลิตทั้งในและต่างประเทศ พร้อมสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ที่ประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียนชนิดอื่นๆ แทนพลังงานฟอสซิล รวมทั้งสนับสนุน Green Economy ลด Carbon Footprint ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้กำหนดยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจ Green Transformation เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดยนำเทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางดิจิทัล เข้ามาใช้ในการวางรากฐานเป้าหมายและดำเนินธุรกิจให้กับลูกค้าในปัจจุบันและลูกค้าในอนาคต ที่ต้องการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานสิ้นเปลือง หรือพลังงานฟอสซิล ได้แก่ น้ำมัน รวมทั้งหินน้ำมัน ทรายน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ มาเป็นพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานชีวมวล (Biomass Energy) ซึ่งเป็นพลังงานที่ผลิตได้จากการนำวัสดุชีวมวล มาผ่านกระบวนการแปรรูปจนได้ก๊าซ นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตไฟฟ้า ช่วยลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ลดรายจ่ายให้กับผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงานอย่างครอบคลุมแบบครบวงจร นับเป็นการสร้าง New S-curve ของ ABM ที่ชัดเจนตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป

ด้านนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวว่า ความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสองบริษัทครั้งนี้ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อยุติการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งการยุติถ่านหินใน Boiler หรือเตาต่างๆ ในอุตสาหกรรม เป็นการสนับสนุนให้ผู้ที่มี Boiler หรือใช้เชื้อเพลิงเก่า ๆ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ฯลฯ หันมาเปลี่ยนเป็นพลังงานเชื้อเพลิงชีวมวล เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวมนุษย์โลกและลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ซึ่งต้องช่วยกันรณรงค์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะสาเหตุที่เกิดจากการใช้พลังงานฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้า ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนต้องร่วมกันทำคือการประหยัดไฟฟ้า ต่อมาคือการคมนาคมขนส่งและควรใช้ดิจิทัลให้มากขึ้น เพื่อลดการใช้พาหนะในการเดินทาง ถ้าหากจำเป็นก็ควรเลือกใช้รถไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมในฐานะที่เป็นผู้ผลิตควรเลือกเชื้อเพลิงที่ถูกต้องที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น เลือกผลิตเองโดยใช้ Renewable ดูแลเรื่องการแยกขยะ เนื่องจากขยะจะปล่อยก๊าซมีเทนมีสู่ชั้นบรรยากาศ ในส่วนของด้านของเศรษฐกิจ ในพื้นที่ของโรงงานก็ควรมีการเพิ่มพื้นที่ของต้นไม้หรือทำโปรเจกต์เพื่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจาก Carbon-credit ที่ได้จากการปลูกป่า สามารถนำมาลบการปล่อยคาร์บอนด์ นำไปสู่ Net Zero ได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายของหลายองค์กรในโลกนี้ เช่นเดียวกับการ MOU ระหว่าง ABM และ AT Energy จะเป็นต้นแบบสำคัญในการร่วมมือกันลดโลกร้อนในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

Back to top button