ดีเดย์เทรด! SGC ลุ้นเหนือจอง 3.90 บ. ชูพื้นฐานแกร่ง ปักเป้าปี 69 พอร์ต 5 หมื่นล้าน

SGC ลุ้นเหนือจอง 3.90 บ. ลุยระดมทุนเสริมแกร่งธุรกิจสินเชื่อ-วางเป้าปี 69 พอร์ตแตะ 5 หมื่นล้าน ขึ้นแท่นผู้นำธุรกิจ ชู "รถทำเงิน" เรือธงดันธุรกิจเติบโตก้าวกระโดด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 ธ.ค.65) หุ้นสามัญของบริหาร บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันนี้ (13 ธ.ค.65) เป็นวันแรก ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ โดยมีมีทุนชำระแล้ว 3,270 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท  ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 2,450 ล้านหุ้น และหุ้นบริษัทเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 820 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3.90 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 3,198 ล้านบาท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 12,753 ล้านบาท

ทั้งนี้ราคาที่เสนอขายคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) เท่ากับ 21.84 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของบริษัทที่ 0.18 บาท/หุ้น      ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ (Fully Diluted) ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ

โดยมีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญร่วม

ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดฯยินดีต้อนรับ SGC เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ ในวันนี้ (13 ธ.ค.65) เป็นวันแรก

โดยบริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ภายใต้กลุ่ม SINGER ในนาม “เอสจี แคปปิตอล” โดยแบ่งเป็น 1) สินเชื่อเช่าซื้อ (Hire purchase) เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ในครัวเรือน และเครื่องจักร 2) สินเชื่อรถยนต์ (Car for Cash) ภายใต้แบรนด์ “รถทำเงิน” (เน้นกลุ่มรถบรรทุก) ผ่านพนักงานขาย สาขาและแฟรนไชส์ของบริษัทในกลุ่ม เช่น SINGER และ Jaymart mobile กว่า 4,154 สาขา พันธมิตรร้านค้า เช่น go! Power และ Homehub เครือข่ายทางธุรกิจ Dealer และ Agent 1,859 ราย ครอบคลุมทุกภูมิภาคในประเทศไทย และขยายการให้บริการครอบคลุมถึงสินเชื่อสวัสดิการพนักงาน และสินเชื่อผ่อนทองออนไลน์ (Click2Gold) โดย ณ วันที่ 30 ก.ย.65 บริษัทมีพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อทุกประเภทมูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท

นางสาวบุษบา กุลศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ SGC เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้บริษัทฯ มีฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น และเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาใช้รองรับการขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อ รองรับลูกค้ารายใหม่ และรองรับการขยายตัวของของพอร์ตสินเชื่อที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมบางส่วนจาก SINGER

สำหรับ SGC มีผู้ถือหุ้น 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 1) บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (SINGER) ถือหุ้น 74.92% 2) บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) ถือหุ้น 4.46% และ 3) บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (RABBIT) ถือหุ้น 4.17% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO อ้างอิงตามมูลค่าเชิงเปรียบเทียบกับมูลค่าของหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่สามารถอ้างอิงได้ (Market Comparable)

ทั้งนี้จากแผนระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพฐานทุนของ SGC ให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมที่จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ ก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจสินเชื่อของประเทศไทย ที่มีพอร์ตเติบโตแตะระดับ 50,000 ล้านบาท ภายในปี 69 โดยเงินที่ได้จากการระดมทุน เตรียมนำไปใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และ นำไปชำระเงินกู้ยืม SINGER ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท

ด้านนายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม เปิดเผยว่า SGC มีพอร์ตสินเชื่อเติบโตอย่างโดดเด่น หรือเติบโตขึ้นประมาณ 74.0% (CAGR จากปี 2562 – 2564) และเมื่อสิ้นงวดไตรมาส 3/65 บริษัทฯ มีพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อเท่ากับ 15,102 ล้านบาท สูงขึ้นประมาณ 37.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 จึงมั่นใจว่า SGC จะเป็นอีกหุ้นน้องใหม่ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้ในระยะยาวได้

ขณะที่นางยอดฤดี สันตติกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ SGC ในช่วงที่ผ่านมา จำนวน 820 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 3.90 บาท ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินกว่าคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ที่มีการเติบโตของผลการดำเนินงานต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงมองเห็นโอกาสการเติบโตในอนาคต

ด้านนางวันทนา เพชรฤกษ์วงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวเสริมว่า การเข้าจดทะเบียนของ SGC ในครั้งนี้จะยิ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ และศักยภาพการเป็นผู้นำตลาดที่เข้มแข็ง ด้วยแนวคิด การเป็นทั้งคู่คิด และคู่ค้า ทำให้วันนี้ SGC สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง พร้อมด้วยการนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น สนับสนุนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อที่ก้าวกระโดด ควบคู่การควบคุมลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง

สำหรับภาพรวมรายได้ของบริษัทฯ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 – 2564) มีรายได้รวมอยู่ที่ 891.52 ล้านบาท 1,362.96 ล้านบาท และ 1,781.82 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิอยู่ที่ 119.36 ล้านบาท 416.58 ล้านบาท และ 593.03 ล้านบาท ตามลำดับ ล่าสุดผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 SGC มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,665 ล้านบาท เติบโต 27% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ย ประกอบด้วย รายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อรถทำเงิน 46% และรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักร สัดส่วน 51% ที่เหลือเป็นรายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อสวัสดิการพนักงาน และดอกเบี้ยสินเชื่อผ่อนทองและสินเชื่ออื่นๆ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 467 ล้านบาท

Back to top button