“คลัง” เปิดตัวเลขลงทะเบียน “บัตรสวัสดิการฯ” รอบใหม่ 22 ล้านคน

"กระทรวงการคลัง" เปิดข้อมูลคนลงทะเบียนบัตรคนจนรอบใหม่ทะลุถึง 22 ล้านคน โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการคัดกรองคุณสมบัติ เผยเตรียมให้ใช้ได้ในวันที่ 1 มี.ค. นี้


นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะประกาศให้การใช้สิทธิโครงการเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.66 เป็นต้นไป โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติจากผู้ที่เข้ามาลงทะเบียน และจะทยอยประกาศรายชื่อได้ในเดือนม.ค.นี้นอกจากนี้

ส่วนกรณีผู้ที่ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแล้วตรวจสอบสิทธิ พบว่า ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก สามารถอุทธรณ์การตรวจสอบสิทธิได้ โดยจะใช้ระยะเวลาตรวจสอบ 15-30 วัน และหากอุทธรณ์แล้วผ่าน ท่านก็จะได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการย้อนหลังด้วย

สำหรับสวัสดิการที่จะมอบให้ผู้ได้รับสิทธิรอบนี้ คลังกำลังอยู่ระหว่างพิจารณา โดยเน้นการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนให้ตรงจุดมากที่สุด ขณะเดียวกันกำลังอยู่ระหว่างพิจารณา ของบประมาณกลางเพิ่มเติมจากรัฐบาล โดยปัจจุบันมีงบประมาณในกองทุนอยู่ 5 หมื่นล้านบาท

สำหรับการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่นี้ มีประชาชนลงทะเบียนรวม 22 ล้านคน ซึ่งกระทรวงการคลัง ได้เชื่อมข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 43 แห่ง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์สามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเปราะบางได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการให้มากที่สุด

ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลัง ได้จัดทำระบบเชื่อมข้อมูลการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อความรวดเร็วและทันสมัยของข้อมูล และตรวจเช็คอัพเดตทุกปี เพื่อให้ข้อมูลเป็นจริงตามเงื่อนไขผู้ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะในปีนี้ไปผู้ได้รับสิทธิจะสามารถใช้บัตรประชาชนในการซื้อสินค้า หรือสิทธิอื่นๆได้เลย โดยไม่ต้องใช้บัตรสวัสดิการเหมือนรอบที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีเชื่อว่าในอนาคตจำนวนการถือสิทธิบัตรคนจนจะลดลง เพราะเศรษฐกิจดีขึ้น ประชาชนกลับไปทำงานหลังถูกเลิกจากช่วงโควิด ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะหลุดพ้นเกณฑ์การถือบัตรคนจน ตามหลักธรรมชาติ ไม่มีใครอยากจน แต่ในรอบที่ผ่านมาที่มีคนสมัครเพิ่มขึ้น เพราะบางส่วนได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด

ทั้งนี้ ข่าวหุ้นธุรกิจได้มีการค้นหาข้อมูล ก็พบว่าจากเดิมนั้น ปี 2560 มีคนถือบัตรฯประมาณ 14 ล้านคน ต่อมาในปี 2561 มีจำนวน 11 ล้านคน ขณะที่ในปี 2562 มีจำนวน 15 ล้านคน ส่วนในปี 2563 มีจำนวน 14 ล้านคน และในปี 2564 มีจำนวน 13 ล้านคน

Back to top button