RT ปีนี้ “เทิร์นอะราวด์” รายได้โต 100% แบ็กล็อกนิวไฮ 1.14 หมื่นล้าน

RT ปี 66 เทิร์นอะราวด์ รายได้ 4,000 ล้านบาท โต 100% จากปี 65 หลังตุนแบ็กล็อกนิวไฮ 11,400 ล้านบาท เตรียมเข้าประมูลงานใหม่กว่า 7,000 ล้านบาท พร้อมทุ่มงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท


นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท หรือเติบโต 100% จากปี 2565 ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท และจะสามารถพลิกกลับมามีกำไร (เทิร์นอะราวด์) ได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ทั้งหมดอยู่ที่ 11,400 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2566-2567 ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ระดับ 10%

โดยบริษัทมุ่งเน้นแผนกลยุทธ์พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานก่อสร้างให้มีความรวดเร็ว เพื่อส่งมอบงานก่อสร้างในมือให้แล้วเสร็จตามแผน และเดินหน้าแผนการบริหารจัดการต้นทุนก่อสร้างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยมีการติดตามแนวโน้มราคาและการวางแผนการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้ บริษัทยังมีความร่วมมือกับพันธมิตรก่อสร้าง เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้างและเพิ่มศักยภาพการเข้ารับงานในอนาคต

ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทจะรับรู้รายได้จากงานก่อสร้าง เช่น งานก่อสร้างอุโมงค์ในโครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สัญญาที่ 3 จ.สระบุรี-จ.นครราชสีมา, โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง-แม่งัด จ.เชียงใหม่, โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำตามแนวคลองมหาสวัสดิ์จากโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ถึง ถ.ราชพฤกษ์, โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองทวีวัฒนา บริเวณคอขวด, โครงการก่อสร้างบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินร่วมกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง, โครงการก่อสร้างทางหลวง อ.นาทวี จ.สงขลา และงานก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเข้าประมูลงานโครงการภาครัฐเพิ่มขึ้น ต่อยอดจากการเป็นผู้รับเหมาช่วง (Subcontract) ซึ่งคาดว่าในปี 2566 จะเข้าประมูลงานใหม่เพิ่มประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ และงานเอกชนที่มีระยะเวลาการดำเนินงานสั้น เพื่อยอดรับรู้รายได้ต่อเนื่อง อีกทั้ง บริษัทจะเข้ารับงานด้วยราคาต้นทุนการก่อสร้างที่สะท้อนตามจริง เพื่อเพิ่มความสามารถการทำกำไรให้กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยบริษัทมีสัดส่วนงานดังกล่าวจำนวนอยู่ที่ 90% ของงานทั้งหมด

ด้านงานต่างประเทศ บริษัทมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนการเข้ารับงานต่างประเทศมากขึ้น 5-6% ซึ่งปัจจุบันบริษัทเข้ารับงานก่อสร้างงานโยธาสำหรับโครงสร้างถาวร โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มูลค่า 1,615 ล้านบาท โดยบริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัด เป็นเจ้าของโครงการ และบริษัท ช.การช่าง (ลาว) จำกัด เป็นผู้ว่าจ้าง อีกทั้ง บริษัทมีการติดตามสถานการณ์เพื่อเข้ารับงานต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม)

นายชวลิต กล่าวอีกว่า ในปี 2566 บริษัทได้ตั้งงบลงทุนไว้ที่จำนวน 300 ล้านบาท โดยจัดเตรียมซื้อเครื่องจักร เพื่อเป็นการเตรียมรองรับโครงการใหม่ที่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะด้าน รวมถึงการจัดซื้อเครื่องมือเครื่องใช้, ยานพาหนะ และอื่น ๆ ในโครงการก่อสร้าง รวมทั้งบริษัทมีแผนการพัฒนานวัตกรรมเพื่อลดมลพิษในเขตพื้นที่ก่อสร้าง โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พัฒนาระบบยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างโดยเฉพาะงานก่อสร้างอุโมงค์ เพื่อลดต้นทุนการใช้เชื้อเพลิงขนส่ง และช่วยลดมลพิษในเขตพื้นที่ก่อสร้างอย่างยั่งยืน คาดว่าจะสามารถนำมาใช้ในพื้นที่ก่อสร้างช่วงไตรมาส 3/2566

“ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในปีนี้มีแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยการลงทุนโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก รวมถึงการลงทุนจากภาคเอกชน เพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาภายหลังมาตรการล็อกดาวน์ที่มีความคลี่คลายในหลายพื้นที่ทั่วโลก อีกทั้งความต้องการย้ายฐานการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมจากต่างประเทศมายังประเทศไทย ส่งผลบวกกับทั้งอุตสาหกรรมและบริษัท ดังนั้น จึงมั่นใจว่าในปีนี้จะสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีได้อย่างแน่นอน” นายชวลิต กล่าว

สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัท แบ่งตามประเภทงาน ประกอบด้วย งานสร้างอุโมงค์ 55%, งานสร้างเขื่อนและระบบชลประทาน 13%, งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 4%, งานท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน 15%, และงานอื่น ๆ 13% เช่น งานก่อสร้างถนน, งาน Slope Protection เป็นต้น โดยมีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศ 96% และ ต่างประเทศ 4%

Back to top button