SVR เทรดวันแรก! ลุ้นวิ่งเหนือ 3 บาท โบรกชี้กำไรปี 66 โตทะลุ 2 เท่าตัว

SVR ขึ้นสังเวียนเทรดวันแรก ลุ้นวิ่งเหนือจอง 2.20 บาท ฟากโบรกให้ราคาเหมาะสมสูงสุด 3.10 บาท มองกำไรปี 65-67 โตเฉลี่ยปีละ 68% จากแรงหนุนยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เร่งขึ้น บนสมมติฐานเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการต่อปี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ก.พ.66) หลักทรัพย์บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR เตรียมเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,122 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า SVR

ทั้งนี้ SVR ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยดำเนินโครงการภายใต้แบรนด์ “สิวารมณ์” หรือ “SIVAROM” โดยบริษัทมีจุดเด่นในด้านการออกแบบบ้าน รูปแบบโครงการ การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้าร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งนี้ SVR มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างขายทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่า 2,995 ล้านบาท และโครงการในอนาคต 1 โครงการ มูลค่า 686 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายและโอนกรรมสิทธิ์ครึ่งปีหลังของปี 2566

โดย SVR มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 510 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 380 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 130 ล้านหุ้น โดยเสนอขายระหว่างวันที่ 31 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2566 ในราคาเสนอขายหุ้นละ 2.20 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 286 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,122 ล้านบาท การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 13.93 เท่า

ขณะที่คำนวณจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.16 บาท โดยมีบริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

นายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษา กรรมการผู้จัดการ SVR เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน เพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงความเชื่อมั่นของคู่ค้าและผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยผลักดันให้บริษัทสามารถสร้างผลประกอบการให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดแบบ High Growth โดย SVR มีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้ครอบคลุมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท

โดย SVR มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายแรกหลัง IPO คือ กลุ่มฐิติสุริยารักษ์ ถือหุ้น 26.07% กลุ่มมโนธรรมรักษา ถือหุ้น 23.17% และ นายชาตรี เตชะปภา ถือหุ้น 3.92% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทในแต่ละปี ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและทุนสำรองอื่น ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.sivarom.co.th และที่เว็บไซต์ www.set.or.th

นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส SVR เปิดเผยว่า บริษัทฯมีความพร้อมในการนำหุ้นเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ ภายใต้ชื่อย่อ SVR การที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้ ทำให้บริษัทฯ เปิดโอกาสจัดหาแหล่งเงินทุนจากตลาดทุน และเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จและเติบโตไปพร้อมๆ กับ SVR

ทั้งนี้ บริษัทฯวางแผนจัดหาที่ดิน ที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการใหม่ๆให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และพร้อมการสู่การเติบโตในระดับ High Growth (หุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง) High Return (หุ้นที่มีผลตอบแทนสูง) ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน สู่การเป็นผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Premium Economy เป็นรายแรก

สำหรับจุดแข็ง SVR คือ 1.พัฒนาโครงการที่หมุนรอบเร็ว หรือ Quick turnover : วิเคราะห์ทำเลตั้งแต่การเลือกซื้อที่ดิน พร้อมวางแผนในการซื้อที่ดินต่อโครงการไม่เกิน 50 ไร่ ทำให้สามารถกระจายการพัฒนาโครงการได้ ในหลากหลายพื้นที่ ซึ่งมีความเหมาะสมกับความต้องการและไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน ส่งผลให้โครงการของ “SVR” สามารถขายได้หมดภายใน 1 ถึง 3 ปี ทำให้บริษัทฯสามารถหมุนรอบในการทำการขายได้เร็ว

2.ก่อสร้างเร็ว – ขายเร็ว – ส่งมอบเร็ว : การก่อสร้างด้วยระบบ Precast (พรีคาสท์)เพื่อลดระยะเวลาในการก่อสร้าง ทำให้ลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ นอกจากนี้ บริษัทฯมีอำนาจในการต่อรองราคาวัสดุก่อสร้าง จาก Suppliers (ซัพพลายเออร์) ส่งผลให้บริษัทฯมีอัตราการทำกำไรที่ดี

3.ความ “คุ้มค่า” แบบPremium Economy : บริษัทฯสร้างบ้านแบบ Premium Economy ให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความคุ้มค่าของบ้านในระดับพรีเมียม บนพื้นฐานของราคาบ้านที่ประหยัดในระดับราคา 1-7 ล้านบาท โดยกลยุทธ์ดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง  (Real Demand) และตอบโจทย์ทุก Lifestyle ทุก Generation ได้อย่างลงตัว

ส่วนนโยบายในการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทฯมีนโยบายจ่ายในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯยังไม่มีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ดังนั้นโอกาสที่นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในหุ้น SVR ขณะนี้ ก็มีสิทธิได้รับเงินปันผลที่คุ้มค่า

ด้าน นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินว่า SVR มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ ในระดับราคา 1-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นกลุ่ม Real Demand สูง เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยแบบ Premium Economy (ความคุ้มค่า) และด้วยวิสัยทัศน์การบริหารธุรกิจ ภายใต้กลยุทธ์การบริหารจัดการต้นทุน การสร้างบ้านที่มีความคุ้มค่าให้กับลูกค้า และความสามารถรับรู้รายได้จากการโอนได้อย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัยเชิงบวก ที่ส่งผลให้ SVR เติบโตสู่ระดับ High Growth ได้อย่างมั่นคง

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า SVR เป็นบริษัทฯที่มีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และมีความเสี่ยงต่ำ โดยบริษัทฯ มีนโยบายบริหารจัดการอัตราหนี้สินต่อทุน ภายหลัง IPO ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2 :1 เท่า หนุนให้ภาพรวมธุรกิจมีศักยภาพเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงมองว่าหุ้นอสังหาฯน้องใหม่ SVR จึงเป็นหนึ่งในหุ้นที่น่าจับตา และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินทิศทางการเติบโตทางธุรกิจของ SVR ที่ระดับราคา 3.07 บาทต่อหุ้น โดยใช้ Prospective PER ที่ระดับ 9 เท่า ซึ่งต่ำกว่า PER เฉลี่ยของหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่ระดับ 18 เท่า โดยคาดกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 ที่ประมาณ 0.341 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าความต้องการที่อยู่อาศัยในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแนวโน้มฟื้นตัวจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นจากกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อในตลาดระดับกลางถึงบน และการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยอาจเปลี่ยนไปหลังการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยในแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม

ฝ่ายวิเคราะห์ได้คาดรายได้จากการขายปี 2565 ที่ 699 ล้านบาท เติบโต 26% และในปี 2566 จะมีรายได้จากการขายที่ 1,245 ล้านบาท เติบโต 78% พร้อมคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับดีขึ้นสู่ 34.6% ในปี 2565-2566 ปรับดีขึ้น จากระดับ 30.8% ในปี 2564 ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิในปี 2565 อยู่ที่ 59 ล้านบาท และในปี 2566 จะมีกำไรสุทธิที่ 175 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ระหว่างปี 2563-2566 เท่ากับ 42% ต่อปี โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 8.4% ในปี 2565 และ 14.1% ในปี 2566

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าเหมาะสมของ SVR ที่ระดับราคา 3.10 บาทต่อหุ้น ด้วยวิธี P/E multiple โดยใช้กำไรต่อหุ้นปี 2566 ที่ 0.36 บาท เพื่อสะท้อนรายได้จากการโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น จากโครงการที่มีอยู่เดิมและการเปิดโครงการใหม่ในอนาคต และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น จากการเปิดโครงการแนวราบใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น

โดยกำหนดเป้าหมาย P/E ปี 2566 ที่ระดับ 8.5 เท่า ซึ่งเทียบเคียงค่าเฉลี่ยการซื้อขายของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ สำหรับ “SVR” เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบ ในจังหวัดสมุทรปราการ บริเวณพื้นที่บางปู และเทพารักษ์ ทำเลที่มีการขยายตัวของนิคมอุดสาหกรรม เช่น นิคมบางปู และนิคมพัฒนา-จังหวัดระยอง และพื้นที่อื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อกระจายความเสี่ยงในทำเลที่แตกต่างกัน

ได้แก่ อำเภอ ศรีราชา-จังหวัดชลบุรี และ อำเภอไทรน้อย-จังหวัดนนทบุรี โดยปัจจุบัน SVR มีจำนวนโครงการทั้งหมด 9 โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ SVR จะนำไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแผนธุรกิจและแผนการตลาด ที่วางไว้เพื่อให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล

ฝ่ายวิเคราะห์ ได้คาดการณ์กำไรสุทธิของ SVR เติบโตเฉลี่ยปีละ 68% ในปี 2565-2567 โดยคาดกำไรสุทธิ ในปี 2565 ที่ 69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เป็นผลจากรายได้ที่เติบโต 39% อยู่ที่ 778 ล้านบาท และคาดว่าผลประกอบการจะเติบโต 167% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 185 ล้านบาท ในปี 2566 และเติบโต 31% อยู่ที่ 243 ล้านบาท ในปี 2567 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะเติบโตอยู่ที่ 31.2% ในปี 2565, ขณะที่ในปี 2566 จะอยู่ที่ 34.0% และในปี 2567 จะอยู่ที่ 34.5% จากปี2564 ที่ 30.4% จากการโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้น ตามการเปิดโครงการใหม่ที่มีราคาขายสูงขึ้น

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าเหมาะสมของ SVR ที่ระดับราคา 3 บาทต่อหุ้น ด้วยวิธี Relative PE ที่ 8.0 เท่า ใกล้เคียงกับ Forward PE2023 ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 12 รายหลัก ทั้งนี้ SVR เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์แนวราบน้องใหม่ ที่เน้นจุดขายภายใต้แนวคิด Best Smart Living โดย“SVR”มีจุดแข็งทั้งแบบบ้าน ทำเลที่มีศักยภาพการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ในราคาขายที่คุ้มค่า

นอกจากนี้ ได้ประเมินว่า SVR มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด โดยปี 2566 มีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท เติบโต 241% และในปี 2567 กำไรสุทธิ 189 ล้านบาท เติบโต 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งนี้เป็นผลมาจากการได้รับแรงหนุนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เร่งขึ้น บนสมมติฐานที่บริษัทจะมีแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการต่อปี รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้น ที่คาดขยับขึ้นจาก Project Mixed โครงการใหม่ ที่เป็น Segment บน และ SG&A ต่อรายได้จะลดลงจาก Economy of scale ด้วย ขณะที่กำไรสุทธิปี 2565 ประเมินไว้ที่ 54 ล้านบาท เติบโต 6% จากปีก่อน

Back to top button