“อดิศักดิ์” หัวเรือใหญ่ JMART ย้ำเป้ากำไรปีนี้โต 50% ทยอยดันลูกเข้าตลาดหุ้น

“อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ซีอีโอ JMART ตอกย้ำความเชื่อมั่นปี 66 เติบโตทั้งเครือ มั่นใจดันกำไรปีนี้โต 50% ขณะที่ "สุกี้ตี๋น้อย" แผนเชิงรุกขยายสาขาอีก 50% ส่วนเข้าลงทุนใน BKD เข้าเสริมงานรีโนเวทและตกแต่งบ้านมือสอง และลั่นพร้อมทยอยดันลูกเข้าตลาดหุ้น


นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART กล่าวว่าในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตกำไร 50% โดยมาจากการเติบโตของบริษัทหลักในกลุ่ม (Organic Growth) เติบโต 38% และการเติบโตของธุรกิจที่บริษัทเข้าลงทุน (Inorganic Growth) เติบโต 12% พร้อมวางงบลงทุนรวมทั้งกลุ่มกว่า 3 พันล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทได้ร่วมวางแผนและทำงานกับทีมงานของบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เพื่อช่วยหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมถึงให้ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เข้าไปช่วยในด้านการจัดเก็บหนี้ให้กับ SINGER ด้วย จึงเชื่อว่าปีนี้จะเห็นทิศทางการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน SINGER กลับมา

ขณะที่บริษัทในเครืออื่นๆ ได้แก่ ธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือในปี 2566 จะได้เห็นยอดขายทำสถิติสูงสุดใหม่ (All time high) และธุรกิจของ JMT ยังคงมีทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่ม และยังคงมีโอกาสเข้ารับบริหารหนี้เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มที่สถาบันการเงินน่าจะนำหนี้เสียออกมาขายมากขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อ JMT

ด้าน KBJ ยังคงเห็นการเติบโตด้วยเช่นกัน ซึ่งทางทีมงานพันธมิตรเกาหลีเดินหน้าทำงานกันอย่างแข็งขัน และ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ยังได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศ ทำให้ลูกค้ากลับมาเช่าพื้นที่โครงการต่างๆ มากขึ้น และยังมีการร่วมมือกับพันธมิตรพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ประกอบกับมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการ

โดยในปีนี้ยังจะได้เห็นกลุ่ม JMART เดินหน้าร่วมมือกับพันธมิตรในการรุกตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะ “สุกี้ตี๋น้อย” จะมีแผนเชิงรุกขยายสาขาอีก 50% จากปีก่อนมี 42 สาขา โดยส่วนหนึ่งจะเข้าไปตั้งสาขาในคอมมูนิตี้มอลล์ทุกแห่งของ J และจะเห็นความร่วมมือร่วมกับกลุ่ม JMART มากขึ้น

นายอดิศักดิ์ กล่าวอีกว่า สุกี้ตี๋น้อยจะเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างกำไรจากการลงทุนเข้ามาให้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่เข้าถือหุ้นเมื่อเดือนพ.ย. 2565 จากนั้นในเดือนธ.ค. 2565 สุกี้ตี๋น้อยสามารถทำกำไร 60 ล้านบาท ขณะที่สุกี้ตี๋น้อยก็เตรียมแผนที่จะยื่นไฟลิ่งเพื่อเสนอขาย IPO ภายในปีนี้และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 67

เช่นเดียวกับธุรกิจในเครืออีกหลายแห่งที่ JMART มีแผนจะส่งเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดย บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด (JAM) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่มีความเชี่ยวชาญและศักยภาพการเติบโต มีความสามารถในการเพิ่มโอกาสเข้าถึงผู้ซื้อทรัพย์ NPA ทั่วประเทศ และ JMT ตั้งเป้าก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ของธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ได้รับความเชื่อมั่นจากธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เข้าลงทุนใน JAM สัดส่วน 10% สะท้อนความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการทางการเงินรายใหญ่ และเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่วางแผนจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยเช่นกัน

ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายสินค้าวัตถุโบราณ ตัวแทนการจำหน่ายสินค้าประเภทของเก่า งานศิลปะเฟอร์นิเจอร์เก่า แพลทฟอร์มงานแอนทีค และงานศิลปะ รวมถึงการประมูล ภายใต้บริษัท ดีสยาม แอนทีค แอนด์ ไฟน์อาร์ท จำกัด (De Siam) ที่บริษัทเข้าลงทุนในสัดส่วน 30% ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบสะสมและตามหาของเก่า อีกทั้งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่บริษัทมองว่าจะส่งเข้าตลาดหุ้นภายใน 2-3 ปีข้างหน้า

ส่วนบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (J Ventures) ซึ่งดำเนินงานมา 5 ปีแล้ว และเป็นผู้นำด้านดิจิทัลในไทย ยังคงมีโปรเจ็คต่างๆออกมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาด้านเทคโนโลยีให้กับกลุ่ม JMART เป็นกลไกสำคัญเข้ามาเสริมศักยภาพเพื่อรุกธุรกิจ Virtual Bank ร่วมกับ KB ที่มี KaKao Bank ที่สร้างกำไรและประสบความสำเร็จสูง ทำให้บริษัทสนใจยื่นขอใบอนุญาต และวางแผนนำ J Venture เข้าตลาดหุ้นในช่วงปี 67-68

ล่าสุด JMART ยังเข้าไปลงทุนใน บริษัท บางกอก เดค-คอน จำกัด (มหาชน) หรือ BKD ที่สามารถเข้ามาเสริมและสนับสนุนงานรีโนเวทและตกแต่งบ้านมือสองที่เป็นทรัพย์ NPA ของบริษัทในกลุ่ม เติมเต็มใน Ecosystem ได้อย่างสอดคล้องกัน ประกอบกับ BKD ยังมีที่ดินติดสถานี BTS คูคต ซึ่งมีแผนในการร่วมพัฒนาโครงการในที่ดินดังกล่าวร่วมกันด้วย

สำหรับ บมจ.พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป (PRTR) ซึ่งเป็นบริษัทด้าน HR Outsourcing แบบครบวงจรอยู่ระหว่างเตรียมเสนอขาย IPO คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในวันที่ 15 มี.ค.66 ซึ่งบริษัทจะเข้าลงทุน 15% หรือคิดเป็น 90 ล้านหุ้น โดย PRTR จะเข้ามาเสริมงานในการบริหารจัดการด้าน HR ให้กับกลุ่ม โดยเฉพาะธุรกิจสุกี้ตี๋น้อยที่จะทำให้งาน HR มีระบบมาตรฐานมากขึ้น และรุกไปสู่โอกาสการขยายงานใหม่อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับ HR

นายอดิศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย ผมมองว่าวิกฤติมันสร้างโอกาส ตอนนี้คือโอกาส ผมมมองเป็นโอกาส และผมเชื่อว่าจากพละกำลังของ Synergy ทั้งกลุ่ม เราแข็งแรงมากขึ้นทุกๆปี เพราะปีนี้เป็นปีที่ 8 แล้ว ยังคงจะเห็นเราเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อไป

Back to top button