“ไทยเบฟ” เทนเดอร์ “OISHI” 20.34% ราคา 59 บ. ก่อนเพิกถอนออกตลาด

OISHI แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุ ไทยเบฟ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เตรียมเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหุ้น หลังทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญ 76.28 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20.34% ในราคาหุ้นละ 59 บาท พร้อมแจง 3 เหตุผล


บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ OISHI แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2566 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 รับทราบข้อเสนอของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ไทยเบฟ เรื่องแจ้งความประสงค์ในการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท และเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัท จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามหนังสือแจ้งความประสงค์ในการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท เพื่อการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงวันที่10 มีนาคม 2566

โดยไทยเบฟ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2565 ไทยเบฟถือหุ้นในบริษัทจำนวนทั้งสิ้น 298,720,398 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 79.66% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท ซึ่งไทยเบฟมีความประสงค์ที่จะทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่เหลือทั้งหมดจำนวน 76,279,602 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.34 ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท เพื่อการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัท จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาเสนอซื้อหุ้นที่ราคา 59.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคาสูงสุดที่คำนวณได้ตามวิธีการกำหนดราคาเสนอซื้อเพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศ

อนึ่ง ราคาเสนอซื้อดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้หากมีเหตุการณ์อันเป็นเหตุหรืออาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อธุรกิจฐานะทรัพย์สิน หรือเหตุอื่นใดซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการกำหนดราคาเสนอซื้อ

ทั้งนี้ ไทยเบฟแจ้งว่าเหตุผลและที่มาของการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทดังกล่าว มีดังต่อไปนี้

  1. ไทยเบฟเล็งเห็นว่าปัจจุบันปริมาณการซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีไม่มากนักไทยเบฟจึงเห็นว่าการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มทางเลือกและโอกาสให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทสามารถขายหุ้นของบริษัทได้
  1. กลุ่มไทยเบฟอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับแผนการปรับโครงสร้างการดำเนินงานและการประกอบธุรกิจของกลุ่มธุรกิจอาหาร และกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ภายในกลุ่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ หรือเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยจะดำเนินการจัดกลุ่มธุรกิจอาหาร และกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่มี แอลกอฮอล์ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการปรับโครงสร้างของกิจการในเรื่องต่างๆ ซึ่งอาจดำเนินการในลักษณะของการซื้อจำหน่าย หรือโอนทรัพย์สินหรือสิทธิต่างๆ โดยการควบรวมกิจการ, การโอนสิทธิตามสัญญาทางการเงิน, การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือแนวทางในการดำเนินธุรกิจ, การเปลี่ยนแปลงนโยบายการบริหารงาน, การโอนย้ายพนักงาน, การกู้ยืม-ให้กู้ยืมเงิน, การระดมทุนในรูปแบบต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการปรับโครงสร้างที่กล่าวมานี้อาจมีการทำรายการหรือธุรกรรมระหว่างบริษัทกับไทยเบฟ และบริษัทในกลุ่มไทยเบฟได้                                                                                                                                                                                                                                                                                ทั้งนี้ ไทยเบฟ จะพิจารณาดำเนินการตามแผนการดังกล่าวตามความเหมาะสมในอนาคต เนื่องจากแผนการ ดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน จึงอาจมีการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน จะทำให้สามารถเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการกิจการและแผนการปรับโครงสร้างดังกล่าวมากยิ่งขึ้น
  1. เนื่องจากบริษัทจะไม่มีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกต่อไป การดำเนินการดังกล่าวจะยังช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการเป็นบริษัทจดทะเบียน

สำหรับผลประกอบไตรมาส 1 ปี 66 (ระหว่าง 1 ต.ค.-31 ธ.ค.65) มีกำไรสุทธิ 316.96 ล้านบาท ลดลง 18.37% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 388.29 ล้านบาท สาเหตุจากต้นทุนขายและให้บริการรวม 2,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.5% ซึ่งเป็นการเพิ่มในสัดส่วนที่มากกว่าการเพิ่มขึ้นของยอดขาย โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ

นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการขายในไตรมาสแรกอยู่ที่ 293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.6% เนื่องจากการลงทุนในตราสินค้า “โออิชิกรีนที” และการทำกิจกรรมทางการตลาดเพื่อผลักดันยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่ม รวมถึงการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดำเนินการในร้านอาหารเนื่องจากการขยายสาขาร้านอาหาร

ส่วนผลประกอบการปี 65 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 65 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,197.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119.04% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 546.69 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายและให้บริการรวมอยู่ที่ 12,696 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.3% เป็นผลมาจากการเติบโตทั้งธุรกิจเครื่องดื่มและธุรกิจร้านอาหาร

Back to top button