2 โบรกชูเป้า MENA สูง 3.50 บ. ชี้กำไรปีนี้พุ่ง 57%

โบรกเชียร์ซื้อ MENA เป้าราคา 3.30-3.50 บ./หุ้น ประเมินกำไรปีนี้พุ่ง 57% ชี้ก้าวสู่ปีแห่งการเติบโตโดดเด่น รับอานิสงส์อุตฯก่อสร้างฟื้น-ร่วมทุนพันธมิตร-รุกขนส่งสินค้าอุปโภค-บริโภค


บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์ บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ MENA ผู้นำธุรกิจให้บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถมิกเซอร์ (Mixer) และรถเทรลเลอร์ (Trailer) รายใหญ่ของประเทศ โดยระบุว่าฝ่ายวิจัยมองทิศทางการเติบโตของกำไรอย่างก้าวกระโดดของ MENA เฉลี่ยสูงถึง 43% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 2566-68)

โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการก่อสร้าง ทั้งภาครัฐจากการเดินหน้าเร่งสร้างโครงการเมกะโปรเจคต่างๆ จำนวนมากทั่วประเทศตามงบกระตุ้นเศรษฐกิจและการประมูลโครงการใหม่ๆ

ขณะที่ภาคเอกชนโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง ตามการเปิดโครงการใหม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อ MENA ที่ให้บริการขนส่งสินค้าด้วยรถลากจูงหรือรถเทรลเลอร์ (Trailer) ให้บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถผสมคอนกรีตหรือรถมิกเซอร์ (Mixer) และการขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่ง MENA มีรถขนส่งเพื่อให้บริการถึง 728 คัน ณ สิ้นปี 2565 และมีแผนเพิ่มจำนวนรถอีก 100 คันในปีนี้

นอกจากแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างแล้ว ยังได้ต่อยอดการเติบโตไปยังการบริหารจัดการรถขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค โดยในเดือนธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา MENA ได้ลงนาม MOU ร่วมกับบริษัท ตะวันแดง โลจีติกส์ ในการจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุน (MENA ถือหุ้น 35%) เพื่อให้บริการงานขนส่งกระจายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ ร้าน CJ MORE และร้านถูกดีมีมาตรฐาน ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยทั้งสองร้านนี้มีเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วปัจจุบัน CJ MORE มีสาขาที่เปิดให้บริการกว่า 40 จังหวัดเกือบ 900 สาขา และมีโครงการขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกจังหวัดในไทย ขณะที่ร้านถูกดีมีมาตรฐานมีเป้าขยายสาขาอีกหลายพันสาขาในอนาคต ซึ่งคาดว่า จะเริ่มธุรกิจได้ในไตรมาส 2/2566 นี้

ฝ่ายวิจัยมองเห็นแนวโน้มกำไรของ MENA จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในปี 2566-2568 โดยคาดกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโต 57% เป็น 80 ล้านบาท ตามยอดรายได้ที่เติบโตตาม 1) การฟื้นตัวของภาคก่อสร้าง 2) การขยายจำนวนรถที่ปัจจุบันมีอัตราการใช้สูงกว่า 85%  3) การเข้าสู่ธุรกิขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค

ขณะที่ทิศทางราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากปีที่ผ่านมาช่วยหนุนอัตรากำไรให้แข็งแกร่งที่ระดับ 19-20%นอกจากนี้ ราคาหุ้นของ MENA จะตอบรับเชิงบวกตามความชัดเจนของการฟื้นตัวของภาคการก่อสร้างและอุปโภคบริโภค โดยฝ่ายวิจัยเชื่อว่าราคาในปัจจุบันเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ  จึงแนะนำ ซื้อ  ประเมินเบื้องต้นอิง PEG ที่ 0.75 เท่าเทียบกับ EPS growth เฉลี่ย 43% ได้ราคาเป้าหมายที่ 3.50 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ฝ่ายวิจัยฯ คาดปริมาณความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศปีนี้จะเพิ่มขึ้นราว 3.5%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ รวมทั้งภาคอสังหาฯ ซึ่งคาดว่า MENA จะเริ่มทำการขยายกองรถสำหรับการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จอีกราว 50 คัน เป็น 520 คันภายในปีนี้  เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามดีมานด์ของลูกค้ากลุ่มผลิตปูนฯ และคาดขยายกองรถฯ เพิ่มอีกเฉลี่ยปีละ 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในปี 2567-68 ประเมินรายได้จากการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.9% ในปี 2565-68

สำหรับการให้บริการขนส่งกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมฯ และสินค้าอุปโภค-บริโภค สามารถแบ่งเป็นการขนส่งด้วยรถควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งจะเน้นการขนส่งสินค้าประเภทอาหารสด ณ สิ้นปี 2565 MENA มีรถขนส่งควบคุมอุณหภูมิจำนวน 14 คันและคาดจะเพิ่มกองรถเป็น 24 คันภายในปีนี้ ส่วนการขนส่งอาหารสัตว์ ณ สิ้นปี 2565 กองรถสำหรับขนส่งอาหารสัตว์มีจำนวน 11 คัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 30 คันภายในปี 2566

ขณะที่รถขนส่งสินค้าทั่วไปมีจำนวน 68 คัน คาดว่าจะยังไม่มีการขยายกองรถ และรถขนส่งสินค้าอุปโภค-บริโภค ในกลุ่มร้านสะดวกซื้อ ลูกค้าหลักได้แก่ ร้าน CJ ปัจจุบันมีรถขนส่งจำนวน 58 คัน และคาดว่าจะโอนทรัพยสินส่วนนี้ไปยังบริษัทร่วมทุนใหม่ภายในไตรมาส2/2566 ประเมินรายได้จากการขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมฯและสินค้าอุปโภค-บริโภคจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 21.5% ในปี 2565-68

ส่วนการร่วมทุน JV กับ ตะวันแดงโลจีสติกส์ ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินผลสุทธิของการจัดตั้ง บริษัทร่วมทุน ทีดี เอ็ม ลอจิสติกส์ (TDM) จะเป็นบวกต่อ MENA ซึ่งเป็นการเปิดโอกานในการเข้าบริหารจัดการการขนส่งสินค้าฯ ในกลุ่มร้านสะดวกซื้อ “ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต” หรือ CJ และมีโอกาสต่อยอดไปยังร้านสะดวกซื้อ “ถูกดี มีมาตรฐาน” หรือ TD,โอกาสในการขยายการให้บริการขนส่งสินค้าไปยังธุรกิจอื่นๆ ในเครือข่ายผู้ถือหุ้นกลุ่ม “ตะวันแดง” ซึ่งคาดว่า MENA จะบันทึกส่วนแบ่งกำไรฯ ราว 15 ล้านบาทในปี 2566 และเพิ่มขึ้นเป็น 41 ล้านบาทในปี 2567 ทางวิจัยฯ คาดมี Upside ในอนาคต กรณี TDM เตรียม IPO

ฝ่ายวิจัยฯ คาดการขยายกองรถให้บริการขนส่ง และผลของการจัดตั้ง บริษัท TDM จะหนุนให้กำไรปีนี้ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากงวดเดียวกันของปีก่อน  และทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในปี 2567 เป็น 114 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44% จากงวดเดียวกันของปีก่อน  โดยได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรจาก TDM ที่จะรับรู้เต็มปี

ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเหมาะสม 3.3 บาท อิงวิธี DCF โดยกำหนดสมมติฐาน WACC 9.2%,Terminal Growth 5% (อิง ROE เฉลี่ย 3 ปี 11% / Retention ratio 45%) ณ ราคาเป้าหมายดังกล่าวจะคิดเป็น Forword PE ปี 2566= 30.5 เท่า ใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตของกำไร 2 ปีข้างหน้าที่ 29% CAGR 2566-68 (คิดเป็น PEG 1.06 เท่า)

Back to top button