DEXON เทรดวันแรก ลุ้นวิ่งเป้า 6.9 บ. โบรกฟันธงกำไรปีนี้โต 42%

DEXON ฤกษ์ดีลงสนามเทรดตลาด mai ลุ้นราคาวิ่งเหนือจองไอพีโอ ฟาก “บล.บียอนด์” ประเมินราคาเหมาะสมปี 66 ที่ 6.25-6.90 บาทต่อหุ้น พร้อมคาดกำไรปีนี้แตะ 149 ล้านบาท โต 42% รับแผนขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ DEXON เตรียมเข้าจดทะเบียนและทำการซื้อขายใน ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายใต้กลุ่มบริการ เป็นวันแรก 31 มีนาคม 2566 หลังผ่านการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 123.18 ล้านหุ้น ที่ราคา 4.50 บาทต่อหุ้น จากมูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย 554.32 ล้านบาท ไปแล้วเมื่อวันที่  24-27 มีนาคม 2566 อย่างไรก็ตามทุนจดทะเบียนหลัง IPO อยู่ที่ 238.25 ล้านบาท

โดยวัตถุประสงค์ในการระดมทุนดังกล่าว เพื่อนำเงินใช้ขยายธุรกิจไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์และสหรัฐ ลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา ชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ

สำหรับ DEXON ทำธุรกิจให้บริการตรวจสอบทางวิศวกรรมโดยไม่ทำลาย และสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสำหรับตรวจสอบโครงสร้างและอุปกรณ์การผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม พลังงาน และอื่น ๆ ซึ่งมีจุดเด่นในการตรวจสอบระบบท่อส่ง (In-Line Inspection: ILI) ได้ด้วยตัวเอง และเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการตรวจสอบระบบท่อส่งไม่กี่รายในโลกที่สามารถให้บริการ ILI ได้ครบทุกรูปแบบและหลากหลายขนาดท่อส่งตั้งแต่ 3 นิ้ว-64 นิ้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งบนพื้นดินหรือใต้ทะเล และมีศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนาอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่สนับสนุนธุรกิจของตัวเองและตอบโจทย์ลูกค้าภายนอก

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ต่อหุ้น DEXON ประเมินราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 6.25-6.90 บาทต่อหุ้น อิง PER ปี 2566 ที่ 20-22 เท่า โดยคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 2566-2568 เติบโตแข็งแกร่ง ประเมินกำไรสุทธิในปี 2566 อยู่ที่ 149 ล้านบาท อัตราการเติบโต 42% ถัดไปในปี 2567 กำไรสุทธิ 170 ล้านบาท อัตราการเติบโต 14% และในปี 2568 กำไรสุทธิ 199 ล้านบาท อัตราการเติบโต 17% ตามลำดับ ซึ่งคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 3 ปี อยู่ที่ 24% คาดการณ์จากการเติบโตตรวจสอบโดยไม่ทำลายที่มุ่งเน้นให้บริการตรวจสอบท่อโดยใช้เทคนโลโลยีขั้นสูงอย่าง  (In-Line Inspection: ILI) ที่ทำ GP อยู่ระดับที่ 40% และบริษัทฯมุ่งเน้นขยายการเติบโตไปยังต่างประเทศมากขึ้นไปยังทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป

ขณะที่ บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ต่อหุ้น DEXON ประเมินราคาพื้นฐานในปี 2566 ที่ 6.20 บาท อิงจากค่า P/E ที่ 20 เท่า โดยได้รับปัจจัยบวกจากผลการดำเนินงานปี 2566 คาดการยังคงเติบโตจากปี 2565 ที่ได้งานโครงการต่างประเทศ ซึ่ง DEXON มีแผนขยายธุรกิจไปในต่างประเทศมากขึ้นในเกือบทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งการขยายตลาดไปในประเทศใหม่ๆ ที่มีศักยภาพในการได้งาน, การให้บริการใหม่ทั้ง ILI และ Furnace ซึ่งมีการตรวจสอบท่อในเตาเผาอุณหภูมิสูง รวมถึงงานตรวจสอบโดยไม่ทำลาย (Non-Destructive Testing: NDT โดยใช้เทคโนโลยีอื่นๆ

ทั้งนี้ ผลดังกล่าวส่งผลให้ฝ่ายวิจัยคาดรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 783 ล้านบาท เติบโต 28.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 148 ล้านบาท เติบโต 37.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ต่อหุ้น DEXON ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 6.10 บาท ซึ่งใช้ P/E ที่ 20.8 เท่า ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี พร้อมคาดว่าการเติบโตของรายได้สำหรับปี 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 758 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถัดไปในปี 2567 รายได้อยู่ที่ 878 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และในปี 2568 รายได้อยู่ที่ 1,019 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ตามลำดับ โดยมีปัจจัยหนุนหลักมาจากการ มุ่งเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐที่เป็นตลาดใหญ่เนื่องจากมีท่อส่งรวมยาวที่สุดในโลก และมีอายุการใช้งานสูง

อีกทั้งบริษัทมีการลงทุนพัฒนาอุปกรณ์ตรวจสอบอัจฉริยะ และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและขยายตลาดลูกค้าให้มากขึ้น โดยเราเชื่อว่าการทำ ตลาดสหรัฐถือเป็นโอกาสในการเติบโตที่ดีเนื่องจากส่วนแบ่งการตลาดได้เพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผล ต่อผลการดำเนินงานของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ

ขณะเดียวกันประมาณการว่าในปี 2566-2568 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯจะอยู่ที่ 36.1-37.4% โดยการปรับตัวขึ้นหลักๆจะมาจากการเปิดตลาดต่างประเทศมากขึ้นทำให้สามารถคิดอัตราค่าบริการที่สูงขึ้นได้โดยบริษัทมุ่งเน้นการขยายตลาดต่างประเทศไปที่กลุ่มบริการตรวจสอบท่อโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีสุด รวมทั้งการที่บริษัทมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้รับการพัฒนาอยู่ เสมอทำให้การตรวจสอบเป็นที่ต้องการของลูกค้าและมีความสามารถในการต่อรองในด้านราคา ขณะที่ต้นทุนหลักของการบริการคือ ค่าแรงพนักงาน ซึ่งมีสัดส่วนเฉลี่ยใน 2562 จนถึง 6 เดือนแรกของปี 2565 คิดเป็นร้อยละ 56 ของต้นทุนบริการทั้งหมด ทำให้รายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น

Back to top button