5 อันดับหุ้น SET50 ราคา “พุ่ง-ดิ่ง” แรงไตรมาสแรก

เปิด 5 อันดับหุ้น SET50 ราคา “พุ่ง-ดิ่ง” มากที่สุดไตรมาสแรกปีนี้ (30 ธ.ค.65.-31 มี.ค.66) พบ DELTA โกยรีเทิร์นเยอะสุด 37% ส่วน JMART ร่วงสูงสุด 43% มองเป็นโอกาสเข้าสะสมหุ้น "บลูชิพ" พื้นฐานแกร่ง


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลราคาหุ้นกลุ่ม SET50 ที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงและราคาปรับตัวลดลงแรงในรอบ 3 เดือน หรือไตรมาสแรกปี 2566 โดยเปรียบข้อมูลราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.65- 31 มี.ค.66 โดยได้คัดเลือกมา 5 อันดับแรกของกลุ่มที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วย

สำหรับกลุ่มหุ้น SET50 ราคาปรับตัวขึ้นแรงในรอบในรอบ 3 เดือน หรือไตรมาสแรกปี 2566 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, 2.บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, 3.บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP, 4.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และ 5. บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD

สำหรับอันดับ 1 ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมากที่สุดในไตรมาสแรกปี 66 คือ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 830.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 1,142.00 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.66 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 37% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วงดังกล่าวคาดว่ามาจากปัจจัยบวกการเติบโตของผลการดำเนินงานปี 65 ที่ออกมาเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น

โดย DELTA ประกาศงบปี 2565 มีกำไรสุทธิ 1.5 หมื่นล้านบาท โตทะลัก 129% จากปีก่อนมีกำไร 6.6 พันล้านบาท เนื่องจากรายได้ยอดขายและบริการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร ประกอบกับบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปี 65 หุ้นละ 4 บาท โดยขึ้นเครื่องหมาย XD เมื่อวันที่ 28 ก.พ.66 ที่ผ่านมาทำให้นักลงทุนเข้าไปซื้อหุ้นเพื่อรอรับปันผลในช่วงดังกล่าวโดยบริษัทมีกำหนดจ่ายในวันที่ 28 เม.ย.66

นอกจากนี้บริษัทมีประเด็นเตรียมเทรดพาร์ใหม่ 0.10 บาท จากเดิม 1 บาท ซึ่งต้องขออนุมัติจากการประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 7 เม.ย. 2566นี้ จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นทะยานขึ้นแรงและทำ “ออลไทม์ไฮ” ต่อเนื่อง และส่งผลให้ DELTA มีมูลค่ามาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1  โดยล่าสุด ณ 31 มี.ค.66 แตะระดับ 1.37 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปรับตัวแรงดังกล่าวทำให้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ออกมาเตือนผู้ลงทุนให้พิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ก่อนเข้าซื้อขายในหลักทรัพย์ DELTA เนื่องจากค่า P/E พุ่งสูงถึง 89.42 เท่า ที่ 25.09 เท่า ขณะเดียวกันตลท.ได้จับเข้ามาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 : ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance โดยมีผลในวันที่ 3 เม.ย.66 และสิ้นสุด 21 เม.ย.66

ส่วนหุ้น SET50 ราคาปรับตัวลงแรงในไตรมาสแรกปี 2566  5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART, 2. บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT, 3.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA, 4.บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU, 3.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA, และ 5.บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP

อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 5 อันดับดังกล่าวถือเป็นหุ้นพื้นฐานแกร่ง และยังมีแผนธุรกิจที่โดดเด่นและมีโอกาสเติบโตโดเด่นในอนาคต ดังนั้นการอ่อนตัวของหุ้นจึงเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้เข้าซื้อสะสมหุ้นเข้าพอร์ต โดยเฉพาะหุ้นบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART โดยราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 57.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 46.25 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.66 คิดเป็นการปรับตัวลง 18.86%

ทั้งนี้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงช่วงที่ผ่านมาทางบล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ได้ระบุว่า ราคาหุ้นปรับตัวลงไม่ทราบว่าลงเพราะอะไร แต่ทางผู้บริหารก็ได้ออกมาชี้แจงว่าโดนเรียกให้วางหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) จริง จึงได้มีการขายหุ้น Big Lot ให้กองทุน 54 ล้านหุ้น ซึ่งสามารถระดมทุนได้กว่า 1,000 ล้านบาท ก็มองว่าเงินดังกล่าวน่าจะเพียงพอต่อการรองรับ ไม่ให้ถูกบังคับขายต่อเนื่อง  และมองระยะสั้นมีโอกาสฟื้นตัวในทางเทคนิค หลังร่วงแรงเน้นเก็งกำไร

อีกทั้งสะท้อนจากข้อมูลที่ทาง นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลการดำเนินงานปี 66 กำไรนิวไฮต่อเนื่อง ตั้งเป้าเติบโต 50% จากปีก่อน โดยเป็นการเติบโตทั้งในรูปแบบ Organic Growth และ Inorganic Growth โดย Organic Growth ผลมาจากธุรกิจในกลุ่มมีทิศทางเติบโต จากการเชื่อมโยง Ecosystem ประกอบด้วย JMART, JMT, J และ SINGER และ Inorganic Growth ผ่านการทำ Synergy กับบริษัทนอกกลุ่ม ที่จะเริ่มเห็นตัวเลขอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต

ทั้งนี้ ประกอบด้วย สุกี้ตี๋น้อย, BRR, JK AMC, De Siam และจะเกิดขึ้นในช่วงเร็วๆ นี้ ร่วมกับ PRTR บริษัทบริหารทรัพยากรบุคคลชั้นนำของประเทศ จะทำให้กลุ่มบริษัทสามารถต่อยอดโอกาสใหม่ๆ และจะส่งผลกำไรจากการลงทุนเข้ามาในปี 2566 และในปีถัดไป ซึ่งยังไม่นับรวมแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจที่มีศักยภาพเพิ่มเติม พยายามทำธุรกิจให้มี Synergy เกิดขึ้น และพยายามในการสร้าง J-Curve เพื่อให้เป็นการเติบโตแบบยั่งยืน ซึ่งมองว่า นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดที่จะพิสูจน์ สะท้อนความเชื่อมั่น ผ่านสิ่งที่พิสูจน์ได้ นั่นคือผลประกอบการ

ประกอบกับ JMART ทำ Big lot ใน บริษัท บางกอกเดค-คอน จำกัด (มหาชน) หรือ BKD จำนวน 100 ล้านหุ้น สัดส่วน 9.20% ราคา 2.16 บาท มูลค่า 216 ล้านบาท เพื่อผนึกกำลังเป็นพันธมิตรร่วมกัน และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ เนื่องจาก BKD มีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจรับเหมาตกแต่งภายในอาคาร และเฟอร์นิเจอร์

ดังนั้นมองว่าราคาหุ้น JMART ที่อ่อนตัวลงแรงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา น่าจะเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อสะสมหุ้น เนื่องจากแนวโน้มผลประการปีนี้เติบโตเด่นและต่อเนื่องในอนาคต

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button