เปิดโผ 13 หุ้นปันผลต่อเนื่องเกิน 4 ปี พ่วงยีลด์สูงสุด 7%

เปิดโผ 13 หุ้นปันผลต่อเนื่องเกิน 4 ปี พบ UPOIC จ่ายปันผล 31 ปีต่อเนื่อง ฟาก PTL-LALIN-HFT-SKN ให้ยีลด์สูงเกิน 7%


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่จ่ายเงินปันผลเด่นต่อเนื่องเกิน 4 ปีเป็นต้น และให้อัตราผลตอบแทนจ่ายปันผล (Dividend Yield) หรือยีลด์สูงตั้งแต่ระดับ 3.44-7.40% โดยอ้างอิงข้อมูลจากบล.กรุงศรี พัฒนสิน เนื่องจากเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างพอร์ตที่ได้รับรายได้จากเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ

อีกทั้งเป็นหุ้นที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงให้มีความเสี่ยงต่ำกว่าการคัดเลือกหุ้นโดยวิธีการอื่นโดยคัดเลือกจาก Current Ratio หรือ อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเกินระดับ 2 เท่า และ D/E Ratio หรืออัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1 เท่า

โดยกลุ่มหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมี 13 หุ้นได้แก่ UPOIC,LALIN,AP,HFT,HTECH,2S,TACC,ASIAN,LPH,MGT,PTL,SKN และ SONIC ดังตารางประกอบ

สำหรับบริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ UPOIC ดำเนินกิจการปลูกปาล์มน้ำมัน และมีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ จ่ายปันผลต่อเนื่อง 31 ปีติดต่อกัน และให้ Dividend Yield สูงถึง 7.26%

ส่วนบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย จ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีติดต่อกัน และให้ Dividend Yield สูงถึง 7.27% โดยบริษัทมั่นใจปีนี้ทำยอดขายทำได้ตามเป้า 8.6 พันล้านบาท และยอดโอน 6.85 พันล้านบาทเข้าเป้าเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) แล้ว 1 พันล้านบาท จะทยอยรับรู้เข้ามาในปีนี้ทั้งหมด และยังเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามเป้า 10-12 โครงการ มูลค่ารวม 7-8 พันล้านบาท

ด้านบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีติดต่อกัน และให้ Dividend Yield สูงถึง 5.33% สำหรับแผนธุรกิจปี 2566 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 58 โครงการ มูลค่าประมาณ 77,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ทาวน์โฮม 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาท

ด้านบล.คิงส์ฟอร์ด ระบุว่า คาดกําไรสุทธิปี 66 และในปี 67 จะขยายตัวต่อเนื่อง โดยในปี 66 อยู่ที่ 6,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น5.49% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 67 อยู่ที่ 6,465 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.27% จากงวดเดียวของปีก่อน  ตามลำดับดังนั้นยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 14.40 บาท

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button