AAI ปักธงยอดขายปีนี้ 6.6 พันล้าน เดินหน้าเพิ่มกำลังผลิตต่อเนื่อง

AAI ปรับยอดขายปีนี้เป็น 6.6 พันล้าน เดินหน้าเพิ่มกำลังผลิตต่อเนื่อง รองรับตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโต พร้อมขยายฐานลูกค้ากลุ่มเฮ้าส์แบรนด์


นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เปิดเผยว่า ภาพรวมของผลประกอบการปี 2566 มีความท้าทายจากปัจจัยกระทบในเรื่องต้นทุน และการชะลอคำสั่งซื้อสินค้าเนื่องจากลูกค้าในสหรัฐอเมริกาเร่งระบายสินค้าให้สอดรับกับระยะเวลาการจัดส่งที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาลดลง แต่บริษัทยังเชื่อว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายในไตรมาส 2/2566 และคาดว่าสถานการณ์จะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ในขณะที่บริษัทเร่งปรับตัวควบคุมต้นทุนให้กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม

โดยไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,391 ล้านบาท ลดลง 15.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีปริมาณการขายลดลงจากการที่ลูกค้าในตลาดสหรัฐอเมริกามีสต็อกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ปริมาณสูง เพราะกระบวนการเคลียร์สินค้าที่ท่าเรือกลับสู่ภาวะปกติหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้สินค้ารอบใหม่มีระยะเวลาขนส่งสั้นลง แต่จากการที่ตลาดค้าปลีกยังเติบโตได้ ทำให้บริษัทฯ คาดว่าลูกค้าที่เป็นเจ้าของแบรนด์จะสามารถระบายสต๊อก จนปริมาณสต็อกกลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ภายในช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่บริษัทฯ เพิ่มปริมาณขายกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกขึ้นมาชดเชยได้บางส่วน จากความต้องการสินค้าในกลุ่มประเทศตะวันออกลางที่ยังคงสูงแม้ว่าราคาทูน่าจะปรับสูงขึ้น

ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 72 ล้านบาท จากยอดขายและอัตรากำไรที่ลดลงอย่างมากจากราคาวัตถุดิบทูน่าที่ปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกับสัดส่วนอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกเพิ่มขึ้น  ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการทำกิจกรรมทางการตลาดต่อเนื่องจากปีก่อน แม้บริษัทจะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นและต้นทุนทางการเงินลดลงมา แต่ก็สามารถชดเชยได้เพียงบางส่วน

สำหรับภาพรวมของผลประกอบการปี 2566 คาดยอดขายจะปรับมาอยู่ที่ประมาณ 6,600 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง 5,400 ล้านบาท ลดลงจากการประมาณการณ์ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่รับ OEM กับลูกค้าเจ้าของแบรนด์ในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป ขณะที่คาดว่ายอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ของบริษัทที่ขายในประเทศยังสามารถเติบโตได้ และคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 14-15%

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตตามแผนเพื่อให้มีความพร้อมในการรับจ้างผลิตจากลูกค้ารายใหม่ ๆ ตลอดจนเพื่อรองรับการกลับมาเติบโตของลูกค้าในปัจจุบันเมื่อสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น อีกทั้งยังคาดหวังว่า ยอดขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของบริษัทจะสามารถเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทั้งในประเทศไทยและจีน รวมถึงจะสามารถสร้างโอกาสทำตลาดในประเทศแถบเอเชียและกลุ่มตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ คาดว่ารายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกปี 2566 จะทำได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการปรับประมาณการเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิม เพราะได้รับปัจจัยบวกจากค่าระวางเรือลดลง และปัญหาเรื่องการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติซึ่งตลาดสำคัญยังเป็นกลุ่มตะวันออกกลาง แต่คาดว่าอัตรากำไรในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะปรับลงจากปีก่อน เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากต้นทุนราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการแข่งขันที่รุนแรงภายในอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ และมีสภาพคล่องตลอดจนเงินสด เพียงพอกับการดำเนินงานตามปกติเพื่อรองรับการลงทุนตามแผนการขยายกำลังการผลิตและการสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 ของบริษัทในปี 2566

Back to top button