“พิธา” นำทีม หารือ ส.อ.ท. เดินหน้า “ขึ้นค่าแรง-ลดค่าไฟ”

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกล เข้าพูดคุยกับ ส.อ.ท. นำเสนอนโยบาย ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต Next-GEN Industries และนโยบายพลังงาน แรงงาน SME กับราคาพลังงาน พร้อมข้อเสนอส่วนใหญ่ตรงกับพรรคก้าวไกลบรรจุไว้ในนโยบายรัฐบาล


นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยทีมเศรษฐกิจของพรรคทั้งนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล, นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร และนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ตัวแทนทีมเศรษฐกิจจากพรรคไทยสร้างไทย เข้าปรึกษากับ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และผู้บริหาร เพื่อรับฟังข้อเสนอ ปัญหาอุปสรรคจากภาคอุตสาหกรรม

โดยรายงานข่าวจากพรรคก้าวไกล ระบุว่า ในการพูดคุยครั้งนี้ ส.อ.ท. ได้นำเสนอนโยบายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต Next-GEN Industries นโยบายด้านพลังงาน แรงงาน SME และราคาพลังงาน ซึ่งข้อเสนอแนะส่วนใหญ่ตรงกับที่พรรคก้าวไกลจะบรรจุไว้ในนโยบายรัฐบาล เช่น เรื่องราคาพลังงาน การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน เป็นต้น

ทั้งนี้ ผมเคยมีโอกาสทำงานร่วมกับส.อ.ท.ครั้งแรกตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว วันนั้นประเทศไทยคุยกันเรื่องการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ผ่านยุทธศาสตร์การรวมกลุ่มทางอุตสาหกรรมคลัสเตอร์พลัส แต่เวลาผ่านไปเห็นได้ว่าหลายเรื่องไม่ได้มีการสานต่อ รวมทั้งพรรคก้าวไกลต้องการเข้ามาผลักดันภาคอุตสาหกรรมให้ตอบโจทย์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การนำเทคโนโลยี อย่าง blockchain มาใช้ การสร้างยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม โดยเฉพาะการเปลี่ยนจาก Made in Thailand เป็น Made with Thailand ประเทศไทยไม่ใช่แค่รับจ้างผลิต แต่ต้องทำอุตสาหกรรมไทยเข้าไปอยู่ใน Value Chain ของอุตสาหกรรมโลก

สำหรับอุตสาหกรรมไทยในอนาคตจำเป็นต้องมี “3F“1. คือ Firm Foundation หรือพื้นฐานที่แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็น แรงงานที่มีทักษะสูง เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานที่ดี  2. คือ Fair หรือความเป็นธรรม เพราะ 40 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมไทยเติบโตจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ สิ่งที่ตามมาคือความเหลื่อมล้ำ ดังนั้น การพาประเทศไทยไปสู่ประเทศรายได้สูงจำเป็นที่จะต้องคิดเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ  และ สุดท้าย คือ Fast Growing Industry ประเทศไทยจำเป็นต้องผลักดันการวิจัยและพัฒนา (R&D) และส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ถึงแม้จะไม่มีทรัพยากรอย่างโคบอลต์และนิกเกิลที่จำเป็นในการผลิตแบตเตอรี่ แต่ประเทศไทยจำเป็นต้องหาช่องว่างในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ยังมีคู่แข่งน้อย เช่น การผลิตชิป ซิลิคอนคาร์ไบด์ นี่เป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือกันทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน

 “ประเทศไทยในอนาคตต้องเติบโตด้วยการเพิ่มผลิตภาพแรงงานและเพิ่มการใช้เทคโนโลยี ให้ผลิตสิ่งที่มีมูลค่าสูง ไม่ใช่เติบโตด้วยการกดค่าแรงให้ต่ำและกดความสามารถในการแข่งขันให้ต่ำ” นายพิธา กล่าว

ส่วนหนึ่งที่จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันได้ คือการเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรปให้สำเร็จ ซึ่งการทำ MOU จัดตั้งรัฐบาลที่เกิดขึ้นคือความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างสันติ หลังจากนั้นแล้วเชื่อการเจรจา FTA ไทย-อียูจะเสร็จสิ้นได้โดยเร็ว แต่ในขณะเดียวกันเมื่อดูอัตราการใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรี (FTA Utilization) ก็จะเห็นว่าการใช้ประโยชน์จาก FTA ยังทำได้ไม่เต็มที่ ภายใต้รัฐบาลใหม่การใช้ประโยชน์จาก FTA นี้จะต้องเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการทำงานต่อไป

ส่วนความกังวลการปรับขึ้นค่าแรงตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้นั้น นายพิธา กล่าวว่า การเพิ่มผลิตภาพแรงงานต้องทำไปพร้อมกับการดูแลปากท้องของแรงงาน ถ้าท้องไม่อิ่มก็ไม่สามารถคิดเรื่องการเพิ่มทักษะได้ แต่นโยบายพรรคก้าวไกลเป็นการขึ้นค่าแรงพร้อมกับมาตรการช่วยเหลือภาคเอกชน การเสริมทักษะแรงงาน และมีระบบในการปรับขึ้นค่าแรงทุกปีตามสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ เพื่อให้ผลิตภาพและรายได้ประชาชนเป็นสิ่งที่เติบโตไปด้วยกัน

สำหรับความท้าทายของโลกยุคปัจจุบัน คือ ภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำของโลก (global minimum tax) ที่จะทำให้การดึงดูดการลงทุนด้วยการใช้มาตรการทางภาษีแบบเดิมเป็นไปไม่ได้อีก การดึงดูดการลงทุนในอนาคตไม่ใช่แค่เป็นเรื่องการจูงใจทางภาษี แต่เป็นเรื่องความง่ายในการทำธุรกิจ การกิโยตินกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น การปราบคอร์รัปชัน และที่ไทยมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นอันดับ 5-6 ของอาเซียน แย่กว่าฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย เป็นเรื่องที่มีความท้าทาย ตอนนี้เรื่องของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข และความท้าทายทางสังคมอื่นๆ เป็นเรื่องเดียวกัน

ส่วนในขั้นต่อไปที่ตนและพรรคก้าวไกล อยากทำงานต่อกับ ส.อ.ท.คือการตั้งคณะทำงานรายคลัสเตอร์ โดยเอาโจทย์ของแต่ละอุตสาหกรรมที่มีความแตกต่างกันมาแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย เทคโนโลยี เงินทุน แรงงาน เพื่อทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต

ด้าน นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า มีสัญญาณที่ดีจากคณะกรรมการกำกับดูแลพลังงานพร้อมเปลี่ยนสูตรการจัดสรรก๊าซธรรมชาติ สามารถทำได้ทันทีที่มีรัฐบาลใหม่ จะเห็นผลในบิลค่าไฟที่ลดลงภายในเดือนมกราคม 2567ขณะที่ภาคเอกชนเชื่อมั่นว่าภายใต้การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนโดยยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง ดำเนินการด้วยความโปร่งใสรอบคอบ จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและนำพาเศรษฐกิจประเทศไปสู่อนาคต

Back to top button