“บิตคอยน์” ร่วง 10% แตะ 26,000 เหรียญ แพนิก “อีลอน มัสก์” เทขาย-บอนด์ยีลด์กดดัน

“บิตคอยน์” ร่วงแตะ 26,000 เหรียญ หรือลงกว่า 10% เหตุ “อีลอน มัสก์” เทขาย รวมถึง “เฟด” ขึ้นดอกเบี้ยทำให้มีแรงดึงดูดในการเข้าลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากบิตคอยน์มีการซื้อขายทรงตัวที่ระดับ 31,000 เหรียญ – 29,000 เหรียญ ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิ.ย. เมื่อช่วงเช้ามืดตามเวลาในไทยของวันที่ 17 ส.ค. ที่ผ่านมา ได้เริ่มมีการทยอยขายบิตคอยน์อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ลดลงจากระดับ 29,000 เหรียญ เหลือ 26,000 เหรียญ โดยช่วงหนึ่งเห็นการลดลงอย่างฉับพลัน ถึง 8% ภายในเวลาเพียง 10 นาที ในช่วงเช้ามืดของวันถัดมา และมากกว่า 10%  ภายในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา

ด้านนักวิเคราะห์ อ้างอิงจาก Coin telegraph และ CoinDesk คาดการณ์สาเหตุว่า อาจเกิดจากการเทขายรวดเดียวของ SpaceX หรือ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ที่มีบิตคอยน์เก็บอยู่เป็นมูลค่ารวมราว 370 ล้านเหรียญ หรือ ประมาณ 13,000 ล้านบาท หลังจากที่ได้มีการตีพิมพ์บทความที่รายงานเรื่องดังกล่าวลงใน Wall Street Journal ราว 2 – 3 ชั่วโมง ก่อนหน้าที่จะเกิดการเทขาย

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งผลให้หลักทรัพย์ที่เป็นตราสารหนี้ หรือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีความน่าดึงดูดมากกว่าสินทรัพย์ที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินปันผลอย่าง บิตคอยน์ ส่งผลให้นักลงทุน กองทุน และสถาบันการเงิน มีมุมมองที่เป็นลบต่อบิตคอยน์ และอาจเลือกจะขายบิตคอยน์ไปซื้อตราสารหนี้แทน หรืออาจจะขายชอร์ทบิตคอยน์เพื่อเก็งกำไรฝั่งขาลงต่อในตลาดอนุพันธ์ก็ได้ แต่ในฝั่งตรงข้าม ปริมาณการขายในข้างต้น อาจทำให้นักเก็งกำไรฝั่งขาขึ้นต้องเทขายบิตคอยน์ต่อเนื่อง เพื่อทำการปิดขาดทุนราว 420 ล้านเหรียญ จาก long position ในตลาดอนุพันธ์ร่วมด้วยโดยอ้างอิงจาก Coin glass

ขณะเดียวกัน บลูมเบิร์ก (Bloomberg) ได้รายงานว่า ทางคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ได้มีการส่งสัญญาณที่ดี ในคำขออนุมัติจัดตั้งกองทุนที่ซื้อขายเสมือนหุ้น (Exchange Traded Fund : ETF) ที่มีการลงทุนในซื้อขายสัญญาล่วงหน้าของอีธีเรียม( Ethereum) เหรียญคริปโตที่มีมูลค่าตลาดอันดับ 2 รองจากบิตคอยน์ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้มีการขายบิตคอยน์เพื่อไปซื้ออีธีเรียมแทน

อีกด้านหนึ่ง นักวิจัยตลาดมองว่า วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ส่งผลให้ค่าเงินหยวนอ่อนที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สัมพันธ์กับราคาบิตคอยน์ด้วย โดยนักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาบิตคอยน์ในขณะนี้คล้ายคลึงกับเมื่อช่วงปี 58 ที่เห็นการปรับตัวลดลง 23% ในเดือนส.ค. ภายในเวลาหลัง 2 สัปดาห์ และอีกความสัมพันธ์หนึ่งที่น่าสนใจคือดัชนีหุ้นเทคโนโลยี NASDAQ กับราคาบิตคอยน์ ที่ทั้งคู่ทำจุดสูงสุดในรอบปี ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ NASDAQ ขึ้นไปที่บริเวณ 16,000 จุด และหักหัวร่วงลงมาอยู่ที่บริเวณ 14,700 จุด

Back to top button