“บล.พาย” มอง SET บวกรับ “นายก” คนใหม่ แนะลงทุน 4 หุ้นค้าปลีก

“บล.พาย” มอง SET สัปดาห์นี้ตอบรับเชิงบวกหากได้ "นายก" คนใหม่ คาดมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก แนะลงทุน BJC, CRC, CPALL และ HMPRO


บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ประเมิน ตลาดหุ้นไทย ว่า สัปดาห์นี้นักลงทุนจะให้น้ำหนักมากสุดกับปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะการเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 ส.ค. ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ข้อมูลล่าสุดระบุว่าสามารถรวบรวมเสียงได้ทั้งหมด 314 เสียง แม้จะเกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส. แต่ก็ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของรัฐสภา จำเป็นต้องใช้เสียง ส.ว. อีกราว 61 เสียง หากการโหวดผ่านไปได้ด้วยดีเชื่อว่า SET INDEX มีโอกาสตอบรับเชิงบวกระยะสั้น อย่างไรก็ตามหากโหวดไม่ผ่านก็เชื่อว่ามีผลต่อ SET จำกัด และรอดูการโหวดรอบถัดไป

ขณะเดียวกันในวันจันทร์สภาพัฒน์ มีกำหนดจะรายงาน GDP ไตรมาส 2/66 Bloomberg Consensus คาดการณ์ 3% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้หากพิจารณาการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย 5 ปีย้อนหลังก่อนเกิด COVID-19 พบว่าเฉลี่ยแล้วขยายตัวได้ราว 3.4% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ดังนั้นคาดการณ์ที่ขยายตัว 3% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ก็ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนหน้า จึงเชื่อว่าภายหลังจากจัดตั้งรัฐบาลได้จะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการบริโภค ซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO

ด้านปัจจัยต่างประเทศติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของฝั่ง EU ในวันพุธ Bloomberg Consensus ประเมินว่าส่วนใหญ่แล้วประเทศในกลุ่ม EU ดัชนี PMI ต่ำกว่าระดับ 50 ยกเว้น PMI ภาคบริการของเยอรมนีคาดการณ์ที่ 51.5 และภาคบริการของ EU คาดการณ์ที่ 50.6 มองเป็นบวกต่อหุ้นโรงแรมที่มีรายได้หลักจาก EU บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT

ขณะที่ในวันเดียวกันสหรัฐฯ ก็มีกำหนดรายงาน PMI ภาคผลิตและบริการ Bloomberg Consensus ประเมินที่ 48.9 , 52.4 ตามลำดับ และสุดท้าย เชื่อตลาดจะรอติดตามการประชุม Jackson Hole (ประชุมประจำปีของ FED) โดยเฉพาะแถลงจากประธาน FED ในวันศุกร์ช่วงเย็นตามเวลาประเทศไทยเกี่ยวกับท่าทีของเงินเฟ้อและทิศทางดอกเบี้ย สัปดาห์นี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1500–1540 เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเพียงแค่ Trading และเลือกหุ้นที่อิงในประเทศเนื่องจากยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวจากต่างประเทศ อาทิ กลุ่มค้าปลีก BJC, CRC, CPALL, HMPRO กลุ่มท่องเที่ยว บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT

ด้าน กลุ่มศูนย์การค้า บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN กลุ่มขนส่ง ริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB

โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา, ดิ เอราวัณ กรุ๊ป, ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, เซ็นทรัลพัฒนา, ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, เอสซีบี เอกซ์, ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม, บี.กริม เพาเวอร์, โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่, กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์,

รวมทั้ง กลุ่มน้ำมัน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และกลุ่มโรงไฟฟ้า บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF

สำหรับ PTTEP แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 180.00 บาท มองภาพรวมไตรมาส 3/66 ยังเป็นบวกจากแนวโน้มปริมาณขายที่ปรับดีขึ้น โดยผู้บริหารให้แนวทางไว้ที่ 470kBOED (+6% จากไตรมาสก่อน) ขณะที่ราคาขายก็มีโอกาสปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่ขึ้นไปแตะ US$84/บาร์เรลในเดือน ก.ค. หรือขึ้นไปกว่า US$6.0/บาร์เรลจากค่าเฉลี่ยในไตรมาส 2/66 ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นช่วงล่าสุดเป็นผลจากการที่ OPEC+ ขยายกรอบการลดปริมาณผลิตไปถึงเดือน ส.ค

รวมไปถึง บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR โดยคงคำแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 30.00 บาท และมองว่าการปรับลงมาของราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนปัจจัยลบด้านผลประกอบการ ไตรมาส 2/66 ที่อ่อนแอไปแล้ว โดยประเมินกำไรปี 66 ขยายตัว 7% แต่ปี 67 ประเมินว่าจะขยายตัวได้ถึง 22%

Back to top button