WHA อัพเป้าขายที่ดินใหม่แตะ 2,750 ไร่ ลั่นปีนี้รายได้ “นิวไฮ” ต่อเนื่อง

WHA อัพเป้ายอดขายที่ดินใหม่แตะ 2,750 ไร่ ลั่นปีนี้มีรายได้ทำนิวไฮต่อเนื่อง พร้อมแย้มจ่อปิดดีลยักษ์ใหญ่ยานยนต์จีน 600 ไร่ ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ย้ำกลยุทธ์มุ่งสร้างธุรกิจยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสานต่อภารกิจ Mission To The Sun เพื่อมุ่งสู่การเป็น Technology Company เต็มรูปแบบในปี 67


นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ประกาศพันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTURE แนวคิดที่มุ่งสร้างอนาคตอันยั่งยืนให้กับประเทศไทยผ่านศักยภาพของ 4 กลุ่มธุรกิจ โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลโซลูชัน ที่ล้วนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ตามกลยุทธ์เตรียมความพร้อมทุกมิติให้ทุกกลุ่มธุรกิจเดินหน้าพิชิตเป้าหมายปี 2566 ควบคู่ไปกับการสานต่อภารกิจ Mission To The Sun เพื่อมุ่งสู่การเป็น Technology Company เต็มรูปแบบในปี 2567

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง 2566 คาดเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรกมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรกว่า 5,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และกำไรสุทธิ 1,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม ส่งผลให้บริษัทฯปรับเพิ่มเป้าหมายการดำเนินงานของสิ้นปี 2566 ให้สูงขึ้นจากที่กำหนดไว้ก่อนหน้าในช่วงต้นปีดังนี้

ธุรกิจโลจิสติกส์ มุ่งขยายการเติบโตให้ครอบคลุมทำเลยุทธศาสตร์สำคัญในประเทศ และแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในประเทศเวียดนาม โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อีคอมเมอร์ซ  และอุตสาหกรรมที่เป็น New S-curve  นอกจากนี้ยังส่งเสริมการสร้างพันธมิตรในระยะยาว พร้อมนำนวัตกรรมทางด้านดิจิทัลและแนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนเข้ามาใช้ทั้งระบบ ตั้งแต่โครงการ Green Logistics โครงการอาคารสีเขียว โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2566 จะมีการลงนามสัญญาเช่าโครงการใหม่รวม 200,000 ตารางเมตร และมีสินทรัพย์ภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารรวมทั้งสิ้น 2,900,000 ตารางเมตร 

ในส่วน Office Solutions บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายโครงการอาคารสำนักงานบนทำเลที่ดีเยี่ยมของกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 5 โครงการ บนพื้นที่รวมมากกว่า 120,000 ตารางเมตร และเริ่มขยายสู่โครงการพาณิชยกรรมรูปแบบใหม่ ๆ อย่างไลฟ์สไตล์รีเทลสเปซ พื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ใกล้สถานีบีทีเอสสุรศักดิ์ ถนนสาทร ที่พร้อมเปิดช่วงต้นปี 2567 และโครงการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางในย่านสาทร พื้นที่กว่า 6,900 ตารางเมตร ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม  มุ่งรักษาความเป็นผู้นำในประเทศไทยและขยายธุรกิจในเวียดนามให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และมุ่งเน้นการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ (Smart ECO Industrial Estate) และโครงการอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ปัจจุบันมีนิคมอุตสาหกรรม 13 แห่งในประเทศไทยและเวียดนาม คิดเป็นพื้นที่รวม 71,300 ไร่ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่อีก 1 แห่ง และส่วนขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมอีก 3 แห่งในประเทศไทย รวมพื้นที่ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา 5,700 ไร่ สำหรับในประเทศเวียดนาม เร่งการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเหงะอาน เฟส 2 ที่มีพื้นที่รวมกว่า 2,215 ไร่ ให้ทันกับความต้องการของลูกค้า ส่วนนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่อีก 2 แห่งอยู่ในกระบวนการขอใบอนุญาตลงทุน ทั้งนี้ผลจากกระแสการย้ายฐานการผลิตบริษัทฯจึงได้ปรับเป้ายอดขายที่ดินรวมทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม สำหรับปี 2566 จาก 1,750 ไร่ ที่เคยประกาศไว้เมื่อต้นปีเป็น 2,750 ไร่

ธุรกิจสาธารณูปโภค น้ำ ยังคงเติบโตไปพร้อมกับกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมโดยอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงผลิตน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำ 3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และบำบัดน้ำ 1.9  ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาส 4 ปี 2566 นี้ นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนหาโอกาสการขยายตลาดสู่ลูกค้าภายนอกนิคม โดยล่าสุดมีการลงนามในสัญญาการซื้อขายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ให้กับลูกค้า 2 รายในนิคมอุตสาหกรรม WHA ESIE4 คิดเป็นปริมาณน้ำรวม 4.6 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ตั้งเป้าสิ้นปี 2566 จะมีปริมาณยอดจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรม น้ำมูลค่าเพิ่ม และปริมาณการบำบัดน้ำเสียในประเทศไทยและเวียดนามรวมทั้งหมด 168 ล้านลูกบาศก์เมตร  

ธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และขยายสู่ตลาดใหม่ในประเทศอื่น ๆ ควบคู่กับการนำนวัตกรรมและความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งการหาโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจเพื่อสร้าง New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ (BESS : Battery Energy Storage Systems) ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) การซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) สำหรับเป้าหมายปี 2566 บริษัทฯ จะมีการเซ็นสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) เพิ่มเติมหลายโครงการและคาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 192 เมกะวัตต์ โดยมีเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมจากโครงการพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) รวมทั้งสิ้น 300 เมกะวัตต์ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจะอยู่ที่ 847 เมกะวัตต์

ธุรกิจดิจิทัล เดินหน้าโครงการการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลภายในองค์กร ช่วยเพิ่มศักยภาพการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจของ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ให้เดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง และมุ่งสร้างพันธมิตรใหม่ ๆ ในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับ 3 กลุ่มธุรกิจ ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในการนำเทคโนโลยีมาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าเพิ่ม อาทิ แดชบอร์ดแสดงผลการทำงานของแผงพลังงานแสงอาทิตย์และอุปกรณ์ตรวจวัดประสิทธิภาพการทำงานของแผง รวมไปถึงเครื่องมือวิเคราะห์ ระบบอัตโนมัติและอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ที่ใช้ในระบบจัดส่งน้ำ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชัน WHAbit โซลูชันสำหรับดิจิทัลเฮลธ์เทคอย่างต่อเนื่อง และเปิดตัวเวอร์ชันสองในปี 2566 ด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การแสดงข้อมูลด้วยภาพ (Data Visualization) และการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล

สำหรับการลงทุนทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนประมาณ 13,300 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ธุรกิจโลจิสติกส์ 4,400 ล้านบาท ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 5,400 ล้านบาท ธุรกิจสาธารณูปโภค 3,300 ล้านบาท ธุรกิจดิจิทัล 200 ล้านบาท ดังนั้นปีนี้มั่นใจว่ารายได้จะทำนิวไฮต่อเนื่องประมาณ 17,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นราว 10% จากปีก่อน 2565 ทีมีรายได้ 15,800 ล้านบาท และคาดว่า “อีบิทด้า” จะเติบโตเกิน 40% โดยยังมองว่าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมยังโดดเด่นมากสุด เนื่องจากมองว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเชื่อว่าการย้ายฐานทุนเข้ามาลงทุนในไทยจะยังมีต่อเนื่อง

“ส่วนความคืบหน้าขายที่ดินผู้ผลิตยานยนต์ในจีน คาดว่าจะปิดดีลใหญ่ 600 ไร่ ภายในปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า พร้อมแย้มอยู่ระหว่างเจรจาขายที่ดินกลุ่มยานยนต์จากจีนเพิ่มอีก 1 ราย จำนวน 200-300 ไร่ที่เมืองไทย ซึ่งจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบอีกครั้ง ส่วนการไปเยือนสหรัฐที่ผ่านมามองว่า กลุ่ม เทสลา,กูเกิล และไมโครซอฟท์ จะเป็นการเข้ามาขยายการลงทุนเป็นหลัก” นางสาวจรีพรกล่าวเพิ่มเติม

Back to top button