24 หุ้น mai วิ่งคึก! รอบ 9 เดือน XO-TITLE ผลตอบแทนเกิน 100%

เปิดโผ 24 รายชื่อหุ้น mai วิ่งคึก! ในรอบ 9 เดือนแรก 66 ชู XO-TITLE โกยผลตอบแทนเกิน 100% ลุ้นผลงานไตรมาส 3/66 แจ่ม ดันผลงานปีนี้โตเข้าเป้า


ภาวะตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ (30 ธ.ค.65 -29 ก.ย.66) ดัชนียังแกว่งตัวผันผวน โดยเห็นได้จากดัชนี ณ วันที่ 30 ธันวาคม 25665 อยู่ที่ระดับ 584.16 จุด มาอยู่ที่ระดับ 450.53 จุด ณ 29 กันยายน 2566 ลดลง 133.63 จุด หรือลดลง 29.66%  เนื่องจากที่ผ่านมาของปี 66 มีความผันผวนค่อนข้างมาก จากปัจจัยของอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และระดับราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อนโยบายธนาคารกลางต่างๆที่ปรับขึ้นดอกเบี้ย อีกทั้งยังมีปัจจัยจากภูมิรัฐศาสตร์ที่สร้างความผันผวนมาต่อเนื่อง และยังปัจจัยในประเทศที่เข้ามากระทบต่อตลาดหุ้นไทยโดยตรงทั้งปัจจัยการเมือง และค่าเงินบาทที่อ่อนค่า

อย่างไรก็ตามภาพรวมการซื้อขายหุ้นในช่วงดังกล่าวยังมีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสวนทิศทางภาวะตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวแกร่งกว่าตลาดฯ mai มานำเสนอ โดยได้ทำการเรียบเรียงลำดับข้อมูลราคาหุ้นปรับขึ้นมากสุดไปหาน้อยสุด โดยพบว่ามีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง 24 อันดับ ได้แก่ XO, TITLE, DHOUSE, WARRIX, A5, SMART, UEC, PRI, AUCT, SPA, PRAPAT, ARIP, PROUD, STC, TMW, AF, SANKO,YONG, TMILL, TPS, SAAM, SECURE, TURTLE และ CEYE  ตามตารารางประกอบและจะขอนำเสนอข้อมูล

โดยอันดับ 1 บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ13.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 28.50 บาท ณ วันที่ 29 ก.ย. 66 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 119.233% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากแผนธุรกิจโดดเด่นในปี 2566 และนักวิเคราะห์ปรับเป้ากำไรปีนี้โตแรง

ด้าน บล.ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36 บาท คาดกำไรสุทธิปี 66 เพิ่มขึ้น 93% จากปีก่อนอยู่ที่ 656 ล้านบาท และคาดกำไรสุทธิในปี 66-68 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยได้ 37% จาก 1) คาดรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 24% จากการส่งออกทุกทวีปคาดปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ารายใหม่และราคาที่มีการปรับคาดการส่งออกที่เติบโตก้าวกระโดดคือ กลุ่มทวีปอเมริกาคาดเติบโตเฉลี่ยปีละ 114% (สัดส่วนรายได้ปี 65 อยู่ที่ 5%, คาดปี 66 อยู่ที่ 17% ของรายได้รวม) จากการได้ตัวแทนจำหน่ายที่เน้นทวีปอเมริกาเหนือได้แก่ สหรัฐฯ แคนนา และเน็กชิโก จากเดิมที่บริษัทยังไม่เคยเข้าตลาดกลุ่มนี้ และในช่วงปลายปีบริษัทมีแผนขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มไปที่ Modern trade

สำหรับกลุ่มประเทศหลักคือทวีปยุโรปคาดเติบโตเฉลี่ยปีละ 15%) (สัดส่วนรายได้ปี 66 จะอยู่ที่ 70% ของรายได้รวม) และทวีปอื่นๆ คาดเติบโตเฉลี่ยปีละ 13%-15% จากชอสพริกของไทยเป็นที่นิยม คาด EBITDA margin ปี 66 เพิ่มขึ้น 800bps และอัตรามาร์จิ้นเพิ่มขึ้นตามรายได้ทั้งปริมาณและราคาขาย และต้นทุนส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบจากพริก น้ำตาล และกระเทียม ซึ่งมีอัตราการเพิ่มขึ้นน้อยกว่ารายได้ขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่เป็นค่าเสื่อมคงที่ ส่งผลให้เกิดการประหยัดขนาด (economy of scale) เริ่มต้นวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าเหมาะสม 36 บาท

อันดับ 2 บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 1.62 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 3.28 บาท ณ วันที่ 29 ก.ย. 66 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 102.47% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากแผนธุรกิจโดดเด่นในปี 2566 อีกทั้งนักลงทุนมั่นใจธุรกิจหลัง บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เข้าลงทุนด้วยสัดส่วน  67.61% ซึ่งนับเป็นการลงทุนครั้งสำคัญ เพื่อก้าวสู่การขยายตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ตที่กำลังฟื้นตัวอย่างโดดเด่น และพร้อมก้าวสู่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในจังหวัดดังกล่าว

โดย TITLE เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของจังหวัดภูเก็ต และเป็น 1 ใน 2 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดภูเก็ตที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดำเนินธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียมมากว่า 10 ปี ภายใต้แบรนด์ “THE TITLE” ซึ่งแต่ละโครงการล้วนตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ได้แก่ หาดในยาง, หาดราไวย์ และหาดบางเทา และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวต่างชาติ ที่ผ่านมาสามารถปิดการขายแล้วเกือบทุกโครงการ แม้ในสถานการณ์โควิด 19 ระบาดยังสามารถส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้าได้ตามสัญญา แสดงให้เห็นว่า TITLE มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง

นอกจากนี้ ภายใต้การลงทุนดังกล่าว ASW ยังได้ฐานลูกค้าและเครือข่ายเอเจ้นท์ (Agent) ต่างชาติที่น่าเชื่อถือ รวมถึงทีมผู้บริหาร TITLE ที่มีประสบการณ์ในตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ต พร้อมทั้งพนักงานที่เข้าใจการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับชาวต่างชาติที่พร้อมจะดำเนินงานต่อได้ทันที

สำหรับการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตปัจจุบันกลับมาฟื้นตัวได้ดี เพราะภูเก็ตเป็นเดสติเนชั่นของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และเกิดความต้องการที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูเก็ตเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง ล่าสุดรัฐบาลชุดใหม่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตพบกับผู้ประกอบการภาคเอกชนหารือเกี่ยวกับประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดภูเก็ต และมีแนวนโยบาย “ฟรีวีซ่า” (Free visa) แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวอินเดีย เพื่อให้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นในช่วงไฮซีซันที่จะถึงนี้ แสดงให้เห็นว่าจะรัฐบาลชุดใหม่จะใช้ภาคการท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อจากนี้

โดยถือเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีของ ASW ที่ได้ขยายฐานตลาดอสังหาริมทรัพย์ไปในจังหวัดภูเก็ตที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ ASW ในอนาคต โดยล่าสุด ASW จะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของ TITLE คือโครงการ THE TITLE HALO 1 NAIYANG ที่มียอดขายแล้วถึง 80% จากจำนวน 329 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,517 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในไตรมาส 1/2567 และยังมีที่ดินรอการพัฒนาในจังหวัดภูเก็ตอีกกว่า 80 ไร่ สามารถพัฒนาโครงการใหม่ได้ถึง 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 14,000 ล้านบาท

อันดับ 3 บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ DHOUSE ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 0.64 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 0.87 บาท ณ วันที่ 29 ก.ย. 66 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 35.94% คาดเก็งกำไรหุ้นเล็กหลังภาวะตลาดเริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ตามต้องระวังแรงซื้อเก็งกำไรในช่วงที่ราคาปรับตัวแรง เนื่องจากบริษัทยังมีผลขาดทุนต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2562-ปัจจุบัน

อันดับ 4 บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 7.20 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 9.00 บาท ณ วันที่ 29 ก.ย. 66 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 25% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากแผนธุรกิจที่โดดเด่น และผลประกอบการในครึ่งปีแรก 2566 มีกำไร 32.03 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 24.84 ล้านบาท

นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WARRIX เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 จะดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ โดยในช่วงไตรมาส 3/2566 บริษัทมีการเปิดตัวเสื้อฟุตบอลใหม่เพิ่มขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงต้นปีงบประมาณของราชการ ซึ่งมียอดคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้น ขณะที่ในช่วงไตรมาส 4/2566 จะเป็นช่วงจับจ่ายเทศกาลต่าง ๆ

สำหรับปัจจัยบวกในช่วงครึ่งปีหลัง คือ การแข่งขัน (Tournament) ฟุตบอลของทีมชาติที่เลื่อนมาอยู่ในช่วงครึ่งปีหลังทั้งหมด จากปกติที่มี Tournament ในทุก ๆ ไตรมาส ประกอบกับการมีช่องทางการจำหน่ายที่มากขึ้น จะเป็นปัจจัยหนุนในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ หากมีเงินดิจิทัลเข้ามาก็จะเป็นอีกปัจจัยหนุนที่จะเข้ามาเสริมเพิ่ม

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เติบโตต่อเนื่อง จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,074.62 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 519.47  ล้านบาท และบริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2569 รายได้จะเติบโตแตะระดับ 2,700 ล้านบาท ซึ่งในปี 2562-2569 รายได้จะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 22% กลยุทธ์ที่จะขับเคลื่อนองค์กร จะมาจาก 1. การยึดตลาดเดิมให้มั่น คือ ตลาดชุดกีฬา (sportswear) ซึ่งมีมูลค่าตลาดในประเทศไทยที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันบริษัทมียอดขายเพียง 1,000 ล้านบาท ยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมาก ขณะเดียวกันมีการขยายตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ทั้งผ่านโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) การแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดช่องทางการขาย อีกทั้งโครงการของงานราชการเริ่มมีเพิ่มขึ้น เห็นได้จากยอดคำสั่งซื้อเสื้อที่เข้ามาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทจึงยังคงมีการขยายงานส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง

ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น WARRIX กำหนดราคาเป้าหมาย 11.23 บาทต่อหุ้น โดยเชื่อว่ารายได้และกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะเร่งตัวขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นสำหรับทั้งสินค้าที่ไม่มีลิขสิทธิ์และมีลิขสิทธิ์ ซึ่งสินค้าที่มีลิขสิทธิ์น่าจะได้แรงหนุนจากอีเวนต์การแข่งขันกีฬาที่สำคัญ เช่น คิงส์คัพ ในเดือนกันยายน และฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในเดือนพฤศจิกายนนี้ รวมถึงหุ้นส่วนลิขสิทธิ์ใหม่จากต่างประเทศ

ขณะที่สินค้าที่ไม่มีลิขสิทธิ์น่าจะได้รับการสนับสนุนจากการปิดงบประมาณประจำปีของภาครัฐและเอกชน รวมถึงแคมเปญออนไลน์ส่งเสริมการขาย การฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ หลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และโอกาสใหม่ในการเจาะตลาดเครื่องแต่งกายแฟชั่น เพราะบริษัทมีแผนเปิดตัวสินค้าไลฟ์สไตล์ใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะผลักดันให้กำไรในปี 2566 เติบโตที่ระดับ 149 ล้านบาท

อันดับ 5 บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 3.94 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.65 มาอยู่ที่ระดับ 4.76 บาท ณ วันที่ 29 ก.ย. 66 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 20.81% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากแผนธุรกิจโดดเด่นในปี 2566 และแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในอนาคต

นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร A5 เปิดเผยว่า บริษัทเปิดเกมรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงโค้งสุดท้ายปี 2566 ด้วยการรีแบรนด์ และปรับโลโก้ใหม่ โดยบริษัทมีการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ด้วยการรีแบรนด์ Asset Five ให้อยู่ภายใต้ Umbrella Brand หรือแบรนด์เดียวคือ “A5” (เอไฟว์) ด้วยคอนเซ็ปต์ “A5 GREATNESS Inspired by Love : เราเชื่อว่าความรักสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้” ด้วยการใช้หัวใจที่ยิ่งใหญ่ สร้างสรรค์ “ความสุข” โดยมีวัตถุประสงค์หลักดังนี้ 1.เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ A5 ให้ดูอบอุ่น เข้าถึงง่าย และใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น, 2.เพื่อให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น สอดคล้องกับการปรับวิสัยทัศน์ใหม่ของกลุ่ม A5, และ 3.เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่และทุกเจเนอเรชั่น

ทั้งนี้ หลังการรีแบรนด์ครั้งสำคัญนี้ A5 ได้วางโรดแมปเพื่อดำเนินธุรกิจสู่เป้าหมายให้ได้ตามแผนที่วางไว้ โดยบริษัทวางเป้าหมายรายได้ในปี 2569 ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้ในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 2567-2569) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 40% ต่อปี ซึ่งในปี 2569 บริษัทจะมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายในพอร์ตรวม 6 โครงการ

“เพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายในปี 2569 บริษัทวางงบลงทุนสำหรับซื้อที่ดินไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ซื้อที่ดินภายในช่วงกลางปี 2567 เพื่อพัฒนาโครงการสร้างการรับรู้รายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายในปี 2569 โดยที่ดินที่บริษัทให้ความสนใจจะต้องมีขนาดที่สามารถพัฒนาโครงการได้ประมาณ 40-50 ยูนิตต่อโครงการ ซึ่งสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 3 ปี” นายศุภโชค กล่าว

สำหรับในปี 2566 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 1,600 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 2,300-2,400 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ในช่วงครึ่งปีหลังประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีถัดไป ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4/2566 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการ วนา ราชพฤกษ์-เวสต์วิลล์ เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น มูลค่าโครงการรวม 1,700 ล้านบาท ปัจจุบันก่อสร้างคืบหน้าเกิน 50% แล้ว พร้อมตั้งเป้ายอดขาย (Presale) ภายในปี 2566 ไว้มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท

ส่วนในปี 2567 เบื้องต้นบริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6,700 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 2 โครงการ คือ โครงการ CINQ 2 และโครงการ VANA 3 ส่วนมีอีกหนึ่งโครงการเป็นโครงการ รชยา ที่จังหวัดอุดรธานี

นายศุภโชค กล่าวอีกว่า ปัจจุบันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญกับแรงกดดันที่มาจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งแม้จะกระทบต่อต้นทุนการพัฒนาโครงการและกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง จากความผันผวนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ทำให้การตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์อาจจะชะลอตัว ดังนั้น หากรัฐบาลช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีสัดส่วนต่อ GDP ในประเทศที่สูงถึง 1 ใน 5 จะเป็นแรงส่งไปยังธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ ในซัพพลายเชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้

Back to top button