โบรกจัด 6 ธีมลงทุนเดือน ก.พ.! ชู 10 หุ้นตัวท็อปยีลด์สูง-หลบภัย

“บล.กสิกรไทย” ชี้เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 67 ทอสอบ 1,470 จุด อิง EPS ที่ 97 บาท แนะนำ 6 ธีมลงทุนเดือน ก.พ. ชู 10 หุ้นรับปัจจัยบวก TTB-ADVANC-TOP-TU-BTG-PR9-ERW-AAV-AMATA-SISB


ผู้สื่อข่าวอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวขึ้นได้หากเป็นการปรับเพิ่ม EPS ของตลาด หรือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง เนื่องจากตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าดัชนีหุ้นขนาดกลาง และขนาดใหญ่ระดับโลก (MSCI ACWI) อยู่ที่ 4% จากปีก่อนจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ในปี 2566 อยู่ที่ 35% จาก EPS ที่เติบโตน้อยลงและมูลค่าหุ้นที่ไม่ถูกเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาคอื่นๆ

ขณะที่ประมาณการกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Market EPS) ในปี 2567 ถูกปรับลดลง 14.50% ในปี 66 และลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนถึงปัจจุบัน มาอยู่ที่ 97.32 แม้อัตราตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ระยะเวลา 10 ปี ลดลง 0.75% จากระดับสูงสุดปี 2566 ที่ 3.40% ในเดือนต.ค. 2566 มาอยู่ที่ 2.65%

ส่วนการเทขายในตลาดลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนจนถึงปัจจุบัน และลดลง 15.5% จากในปี 2566 นั้น คาดการณ์ว่าจะยังเกิดขึ้นได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติต่างเทขายหุ้นไทย สาเหตุจากแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอ โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตขึ้นเพียง 1.8% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งน้อยกว่าเดิมที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.5%โดยอ้างอิงจากการรายงานของกระทรวงการคลัง

โดยคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงครึ่งหลังปี 2567 หากมวลรวมเศรษฐกิจในไทย (GDP) ปี 2566 ออกมาอ่อนแอกว่าที่ประเมิน รวมถึงโมเมนตัมของจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าในเชิงบวก เพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในเดือนม.ค. 2567 ประกอบกับกระแสดึงการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ(FDI) ที่มากขึ้นจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการลดดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้เกิด downside จำกัดต่อตลาดและสามารถขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดได้

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์จึงประมาณการเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปี 2567 อยู่ที่ 1,470 จุด คำนวณจาก Earnings Yield Gap model (EYG) อิงด้วย EPS ปี 2567 ที่ 97 บาท, อัตราตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะเวลา 10 ปี ที่ 2.70% และ EYG ที่ 3.90% โดยราคาเป้าหมายบ่งชี้ถึง PER ล่วงหน้าปี 2567 ที่ 14 เท่า

อย่างไรก็ตามในปี 2567 ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนควรจับตามองเช่นเดียวกัน เนื่องจากจะส่งผลเซนติเมนต์เชิงลบต่อตลาดหุ้นไทยได้ในระยะถัดไป อาทิ 1) การปรับตัวขึ้นของอัตราตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ จากนโยบายที่ยังเข้มงวดของ Fed, profit-taking จากสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งหรืออัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดการณ์ในอนาคต หรืออุปทานพันธบัตรที่สูงขึ้น

2) Downside ต่อกำไรสุทธิปี 2567 จากการบริโภคที่อ่อนแอ, สภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงและความล้มเหลวของรัฐบาลในการออกนโยบายหลัก, 3) การเทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติ และ 4) การโจมตีเรือในทะเลแดงที่อาจเพิ่มต้นทุนการขนส่งและระยะเวลาในการขนส่ง

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ทางฝ่ายวิเคราะห์ขอนำเสนอ 6 ธีมลงทุนประจำเดือนก.พ.ดังต่อไปนี้

หุ้นปันผล คาดการณ์ว่าธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB จะให้อัตราเงินปันผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจราว 7%

หุ้นปลอดภัย (defensive) ได้แก่ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน)หรือ PR9 และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC โดยคาดการณ์ว่าจะทำผลงานได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจอ่อนตัวลง

หุ้นพลิกฟื้นตัว ได้แก่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU และ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG คาดการณ์กำไรจะพลิกฟื้นในปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานดีขึ้น และสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หุ้นมูลค่า (Value Stock) คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ซึ่งจากการประเมินมูลค่าที่ถูก และ ROE ที่อาจปรับตัวดีขึ้น จากค่าการกลั่น (GRM) ขยายตัว ภาคปิโตรเคมีแข็งแกร่ง และโครงการ CFP เสร็จสมบูรณ์

หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW และบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV คาดการณ์ว่าจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หลักจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในปี 2567

หุ้นการย้ายฐานในภูมิภาค ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA และบริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค

Back to top button