MAGURO ปิดจ๊อบโรดโชว์ “กทม.” จ่อเทรด mai มิ.ย.นี้! ชูผู้นำ “อาหารญี่ปุ่น-เกาหลี” พรีเมียม

MAGURO ปิดจ๊อบโรดโชว์ “กทม.” นักลงทุนรับฟังล้นหลาม จ่อเคาะราคา IPO ลุยสนามเทรด mai มิ.ย.นี้ ตอกย้ำผู้นำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น-เกาหลีระดับพรีเมียมและแมส


นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ผู้นำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม-แมส เปิดเผยว่า ในงาน MAGURO IPO Roadshow เมื่อวันที่ 20 พ.ค.67 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) นักลงทุนให้ความสนใจเข้ารับฟังการนำเสนอข้อมูลบริษัทกันอย่างล้นหลาม ทั้งนักลงทุนสถาบัน,กลุ่ม VI และรายย่อย

สำหรับธุรกิจ MAGURO มีร้านอาหารภายในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่ 1. ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม “MAGURO” (มากุโระ) จำนวน 14 สาขา 2. ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม “SSAMTHING TOGETHER” (ซัมติง ทูเก็ทเตอร์) จำนวน 6 สาขา และ 3. ร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่นแบบต้นตำหรับ (Authentic Japanese Sukiyaki and Shabu Shabu) “HITORI SHABU” (ฮิโตริ ชาบู) จำนวน 6 สาขา ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯมีจำนวนสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลรวม 3 แบรนด์ จำนวน 26 สาขา และมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ในปี 67 ไม่น้อยกว่า 11 สาขา เพื่อสร้างการเติบโตอย่างสูงและต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ “MAGURO CATERING” ในรูปแบบของ Event Catering และ Office Lunchbox และมีบริการจัดส่งอาหารโดยตรง ภายใต้ชื่อ “MAGURO GO” แพลตฟอร์มให้บริการอาหารญี่ปุ่นเดลิเวอรี่คุณภาพระดับพรีเมียมที่จัดส่งถึงที่ ในราคาและคุณภาพเทียบเท่าที่ร้าน

อย่างไรก็ตามธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจที่ท้าทาย มีการแข่งขันค่อนข้างสูง และมีผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดทุกๆ ปี ผู้บริโภคมีทางเลือกจำนวนมาก นอกจากนี้ ธุรกิจเดลิเวอรี่อาหารยังเติบโตสูงในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดย MAGURO ได้ใช้ 4 กลยุทธ์หลัก ซึ่งเป็นเสมือน 4 เสาหลักในการดำเนินกิจการ และสามารถมีรายได้รวมให้เติบโตสูงเฉลี่ยปีละ 64.26% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (64-66) คือ

1.การขยายสาขาและช่องทางการให้บริการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Channel Expansion) โดยมีการจัดทำข้อมูลวิเคราะห์โครงการสาขาที่จะเปิดใหม่ เพื่อพิจารณาผลตอบแทนและความคุ้มค่าในการลงทุน โดยบริษัทฯ จะจัดทำ Feasibility Study ก่อนตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ เพื่อโอกาสที่จะทำให้การลงทุนทุกครั้งประสบความสำเร็จ โดยบริษัทฯ เตรียมการขยายสาขาจากปัจจุบัน สู่โลเคชั่นใหม่ทั้งในเมือง และ ย่านชานเมืองสำคัญที่มีกำลังซื้อสูง โดยใช้ศักยภาพของแบรนด์ของบริษัทฯ ในการดึงดูดลูกค้าด้วยชื่อเสียงของแบรนด์เอง ซึ่งช่วยการลดการพึ่งพาจำนวนลูกค้าจากห้างสรรพสินค้าใหญ่ และเพิ่มทางเลือกของที่ตั้งในการขยายสาขา

2.การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามปรัชญา Give More (Research and Development with Give More Philosophy) บริษัทฯมุ่งเน้นนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ ร้านอาหารรูปแบบใหม่ รวมถึง มีการพัฒนาเมนูอย่างต่อเนื่องให้หลากหลาย น่าตื่นเต้น ทันสมัย บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแบรนด์ใหม่  สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง การมอบความคุ้มค่าสูงสุดให้ลูกค้าอย่างจริงใจด้วยคุณภาพวัตถุดิบนำเข้าระดับพรีเมียมในปริมาณที่มากเพื่อสร้างความประทับใจ

3.การมอบประสบการณ์ให้ลูกค้าที่เป็นเอกลักษณ์ (Distinctive Customer Experience) และน่าประทับใจทั้งคุณภาพอาหาร การบริการที่รู้ใจและใส่ใจแก่ลูกค้า บรรยากาศที่ดี และการนำระบบ CRM ในการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายให้แก่ลูกค้าได้อย่างตรงจุด

4.การหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อการเติบโต (Diversification for Growth) ด้วยการเปิดสาขาใหม่ และสร้างแบรนด์ร้านอาหารใหม่และผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการศึกษาความต้องการของลูกค้าเชิงลึก จากฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากจำนวนสมาชิกที่อยู่ในระบบ (Membership Program) มากกว่า 145,000 ราย

“สำหรับแผนการระดมทุนในครั้งบริษัทจะนำเงินที่ได้ไปขยายสาขาเดิม และขยายสาขาใหม่ 11 แห่ง โดยวางงบลงทุน 13-25 ล้านบาทต่อสาขา และในปีนี้มีแผนจะเปิด 1 แบรนด์ใหม่เพิ่มอีก ซึ่งรายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนแผนการขยายธุรกิจไปตลาดกลุ่มประเทศ CLMV ก็อยู่ระหว่างศึกษาเช่นกัน” นายเอกฤกษ์กล่าวเพิ่มเติม

ด้านนางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ในธุรกิจร้านอาหารที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง MAGURO เป็น 1 ในหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารที่มีประสบการณ์และมีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมาตลอด โดย MAGURO สามารถสร้างเครือข่ายร้านอาหารที่แข็งแรงโดยมี 3 แบรนด์ ร้านอาหาร ใน 3 รูปแบบ ทั้ง ซูชิและอาหารญี่ปุ่น, ปิ้งย่างเกาหลี และชาบูสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่น ด้วยคุณภาพของอาหารระดับพรีเมียมในราคาที่คุ้มค่า ทำให้ MAGURO มีฐานลูกค้าที่มั่นคงและสามารถขยายฐานลูกค้า ไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขยายสาขาของแต่ละแบรนด์อย่างต่อเนื่องในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตสูง ถึงแม้ว่าธุรกิจร้านอาหารจะมีการแข่งขันที่สูง แต่ MAGURO ยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ MAGURO ยังมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งในปี 66 มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง 45.17% และปลอดหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย และมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 26.52% ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ mai จะช่วยให้บริษัทฯ ขยายฐานทุน สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

ด้านนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ กล่าวว่า นับตั้งแต่เริ่มเปิดตัวแผนการเตรียมไอพีโอ เกิดกระแสนักลงทุนให้ความสนใจในหุ้นไอพีโอ MAGURO เป็นอย่างมาก เนื่องจาก MAGURO มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง จากการที่ร้านอาหารทั้ง 3 แบรนด์ มีชื่อเสียงที่ดี และได้รับการยอมรับอย่างสูงจากกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และสามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์เอง ตลอดจนกลุ่มลูกค้าประจำที่เป็นสมาชิก (Membership) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเพิ่มจาก 69,037 รายในปี 65 เป็น 145,615 ราย ในปี 66 โดยสมาชิกดังกล่าวสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ คิดเป็นกว่า 54.36% ของรายได้ในปี 66 ประกอบกับบริษัทฯยังมีการเติบโตที่สูงโดยมีรายได้ที่เติบโตสูงถึง 57.06% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลทั้งจากการเปิดสาขาใหม่ และการเติบโตรายได้ของสาขาเดิม

นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 41.91% ในปี 65 เป็น 45.17%ในปี 66 และส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯเพิ่มจาก 4.71% ในปี 65 เป็น 6.93% ในปี 66 ทำให้กำไรสุทธิมีอัตราการเติบโตเที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีล่าสุด และทางบริษัทฯมีแผนที่จะขยายสาขาจำนวนมาก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO ได้ ภายในไตรมาส 2/67 อย่างแน่นอน

สำหรับปัจจุบัน MAGURO มีทุนจดทะเบียน 63.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 126,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 52.27 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 104,539,800 หุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 27.03 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร( AGRO)

โดยแผนการระดมทุน MAGURO เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดในครั้งนี้ ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯจำนวนไม่เกิน 21,460,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 17.03% และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Holistic Impact Pte. Ltd. (HOLISTIC IMPACT) จำนวนไม่เกิน 12,600,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10.00%

ทั้งนี้ MAGURO มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ก่อนและหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ดังนี้ 1.) HOLISTIC IMPACT สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 28.34% และ 13.52% ตามลำดับ 2.) นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ  3.) นายชัชรัสย์ ศรีอรุณ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ 4.) นายรณกาจ ชินสำราญ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ 5.) นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ และ 6.) ประชาชนทั่วไปหลังการเสนอขาย IPO อยู่ที่ 27.03%

“สำหรับแผนการระดมทุน MAGURO จะเสนอขายเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 34.06 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ส่วนกระบวนการทั้งหมดปัจจุบันได้มีการยืนไฟลิ่งและทำบทวิเคราะห์ออกมาเรียบร้อยแล้วซึ่งติด Blackout Period อยู่ดังนั้นคาดว่ากระบวนการการเคาะราคา IPO และการเข้าจดทะเบียนในตลาดฯจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมิ.ย.นี้” นายสมภพ กล่าวเพิ่มเติม

Back to top button