WHAUP โชว์กำไร Q1 แตะ 224 ล้านบาท รับธุรกิจโซลาร์แกร่ง เร่งนำนวัตกรรม AI ขับเคลื่อนธุรกิจ

WHAUP รายงานงบไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิแตะ 224 ล้านบาท รับธุรกิจโซลาร์เติบโตแกร่ง เดินหน้านำนวัตกรรม AI ยกระดับการขับเคลื่อนธุรกิจทั้งน้ำ-ไฟฟ้า สร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน


บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 223.82 ล้านบาท โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 937 ล้านบาท มีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) 228 ล้านบาท ลดลง 10% และ 39% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่มีกำไรสุทธิซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 224 ล้านบาท ลดลง 52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการลดลงของกำไรปกติมีสาเหตุหลักจากส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าลดลง จากในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทฯ มีการรับรู้รายการพิเศษเกี่ยวกับรายได้เงินชดเชยจากการประกันภัย และจาก

ในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ที่มีการรับรู้ Energy Margin ลดลง อย่างไรก็ตามรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของกำลังการผลิตไฟฟ้า

นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WHAUP เปิดเผยว่า สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) ในไตรมาส 1 ปี 2568 มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งในและต่างประเทศรวมเท่ากับ 40 ล้านลูกบาศก์เมตร ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยปริมาณยอดขายและบริหารน้ำในประเทศลดลง 5%  มีสาเหตุหลักจากการลดลงของยอดจำหน่ายน้ำดิบของลูกค้ากลุ่มโรงไฟฟ้าซึ่งเป็นการลดลงชั่วคราว และยอดจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมของลูกค้ากลุ่มปิโตรเคมี

ขณะที่ปริมาณยอดขายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-added product) เติบโตขึ้น 29% จากปริมาณความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าใหม่ ส่วนปริมาณยอดขายและบริหารน้ำในประเทศเวียดนาม เติบโตขึ้น 12%  จากปริมาณยอดจำหน่ายน้ำของโครงการ Duong River ที่เพิ่มขึ้น จากการขยายพื้นที่การให้บริการและการเติบโตของกลุ่มลูกค้าเดิมและกลุ่มลูกค้าใหม่

ด้านธุรกิจพลังงาน ในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ในไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากสัญญา Private PPA ทั้งสิ้น 126 ล้านบาท เติบโต 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทฯ มีโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 154 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ในไตรมาสดังกล่าว บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ประเภท Private PPA เพิ่มอีกประมาณ 15 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทฯ มีจำนวนเซ็นสัญญาโครงการ Private PPA สะสม 305 เมกะวัตต์ และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทที่ 980 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นจำนวนกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว 704 เมกะวัตต์

ในส่วนของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ในไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าโดยรวม 168 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 36% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าเก็คโค่วันที่ลดลง เนื่องจากมี Energy Margin ลดลง ประกอบกับมีการบันทึกรายการปรับปรุงทางบัญชีเพิ่มขึ้น รวมถึงในไตรมาส 1 ปี 2568 นี้ บริษัทฯ ไม่มีการรับรู้รายได้จากเงินชดเชยจากประกันภัยของโรงไฟฟ้า SPP ในขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP มีการรับรู้รายได้ชดเชยจากการประกันภัย ส่งผลให้บริษัทฯ มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินธุรกิจของ WHAUP เป็นไปตามพันธกิจ ของ WHA Group “WHA: We Shape The Future” โดยมุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านสาธารณูปโภคและพลังงานผ่านเทคโนโลยี AI ทั้งในส่วนของธุรกิจน้ำที่มีระบบ Smart Water Solutions ด้วยการนำ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการให้บริการลูกค้า ลดการสูญเสียน้ำ และในส่วนของธุรกิจพลังงานไฟฟ้าที่ได้นำ AI มาพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เช่น ระบบ Solar Anomaly ที่สามารถตรวจจับความผิดปกติของแผงโซลาร์ ช่วยให้สามารถบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และระบบ Solar Forecasting ซึ่งช่วยคาดการณ์ปริมาณการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยบริษัทฯ พร้อมขยายการลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในอนาคต สอดคล้องกับเป้าหมายการเป็นผู้นำด้านสาธารณูปโภคและพลังงานที่มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.2525 บาทต่อหุ้น แบ่งเป็นเงินปันผลระหว่างกาลที่ได้จ่ายให้ผู้ถือหุ้นไปแล้ว เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา จำนวน 0.0600 บาทต่อหุ้น และอนุมัติจ่ายปันผลเพิ่มเติมอีก 0.1925 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นการสะท้อนศักยภาพความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินที่มั่นคงและการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอของบริษัทฯ

Back to top button