ทางรอดไทย! ลุย “พลังงานหมุนเวียน” เร่งเปิดกว้างเอกชนลงทุน “สายส่ง-โซลาร์-วินด์ฟาร์ม”

“ผู้เชี่ยวชาญ” เผยรายงานจาก BloombergNEF ประเมินพลังงานสะอาดคือทางรอดไทย เปิดโอกาสเอกชน-ลงทุนสายส่ง ดันโซลาร์-วินด์-แบตเตอรี่ ลดพึ่งก๊าซ-ถ่านหิน วอนรัฐเร่งแก้ปัญหาใบอนุญาตล่าช้า บรรลุเป้า Net Zero อย่างยั่งยืน


ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (21 พ.ค. 2025) เพจ JustPow ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม จัดงานเปิดตัวรายงาน Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid ซึ่งจัดทำโดย BloombergNEF (BNEF) พร้อมการเสวนาหัวข้อ “ทิศทางประเทศไทยภายใต้ต้นทุนพลังงานที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต” ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (Foreign Correspondents’ Club of Thailand – FCCT)

ในการอภิปรายเรื่อง “Thailand’s Energy Transition – A Turning Point” นำเสนอโดย BloombergNEF (BNEF) มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ได้แก่ Shantanu Jaiswal หัวหน้าฝ่ายวิจัยอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ BloombergNEF, ดร.ศุภวรรณ แซ่ลิ้ม ผู้นําโครงการ นโยบายพลังงานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Agora Energiewendeนายอรรถิศ เวชากิจ รองประธานชมรมอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สหพันธ์อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) และนายชัพมนต์ จันทรพงศ์พันธุ์ รองประธานผู้บริหารอาวุโส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER และมี นายรพีพัฒน์ อิงคะสิทธิ์ ที่ปรึกษาด้านการวิจัย Climate Finance Network ประเทศไทย (CFNT)

BloombergNEF (BNEF) ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยเชิงกลยุทธ์ชั้นนำที่ครอบคลุมทั้งประเด็นเรื่องพลังงานสะอาด การขนส่งขั้นสูง อุตสาหกรรมดิจิทัล ผลิตภัณฑ์ทางนวัตกรรม นำเสนองานวิจัย Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid ซึ่งเป็นเนื้อหาเรื่องต้นทุนพลังงานของประเทศไทย ซึ่งรายงานดังกล่าวจะแสดงถึงต้นทุนพลังงานของไทยจากเชื้อเพลิงต่างๆ ทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์ไปสู่อนาคต

โดยเนื้อหาที่สำคัญในรายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า ปี 2025 ต้นทุนพลังงานเฉลี่ยต่อหน่วย (LCOE) สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ในประเทศไทยอยู่ที่ 33-75 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์ชั่วโมง (0.91-2.06 บาท/MWh) ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนของโรงไฟฟ้าก๊าซ (CCGT) แห่งใหม่ (79-86 ดอลลาร์สหรัฐ/MWh) และโรงไฟฟ้าถ่านหิน (74-96 ดอลลาร์สหรัฐ/MWh)

ดังนั้น ภายใต้ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (ร่าง PDP2024) ซึ่งวางแผนที่จะเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซ (CCGT) อีก 6.3 กิกะวัตต์ BNEF มองว่าไทยไม่ควรสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนเพิ่มอีก เพราะจะทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นไปอีก และต้องพึ่งพาการนำเข้า LNG มากขึ้นเรื่อยๆ และควรทยอยเลิกโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่มีอยู่แล้วให้สอดคล้องกับการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น โดยชี้ว่าการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็นแนวทางที่คุ้มค่าที่สุด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ระดับสาธารณูปโภคเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจำนวนมากแห่งใหม่ที่ถูกที่สุดในประเทศไทยแล้ว

รวมไปถึงโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งพร้อมแบตเตอรี่เก็บไฟ 4 ชั่วโมง ซึ่งมีต้นทุนพลังงานเฉลี่ยต่อหน่วย (LCOE) ต่ำกว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแห่งใหม่ในประเทศไทยแล้ว และคาดการณ์ว่า LCOE จะลดลงเหลือ 44-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 และ 29-57 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2050 นอกจากนี้ BNEF ยังชี้ว่าในการจัดการกับความไม่แน่นอนของพลังงานหมุนเวียน ประเทศไทยสามารถใช้พลังงานน้ำสูบกลับและระบบกักเก็บพลังงานจากแบตเตอรี่ได้

ในส่วนของการลดการปลดปล่อยคาร์บอน ภายใต้แผนการเดินทางไปสู่ Net Zero ของประเทศไทย โดยในร่างแผน PDP2024 จะมีการนำเอาไฮโดรเจน 5% มาเผาร่วมกับก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าก๊าซ การใช้ระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) นั้น

BNEF มองว่าไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาแพงกว่าก๊าซและถ่านหินเมื่อเทียบในหน่วยพลังงานที่เท่ากัน การพึ่งพาเชื้อเพลิงดังกล่าวอาจทำให้ราคาไฟฟ้าสูงขึ้น นอกจากนี้ในการใช้ระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) BNEF ชี้ว่าการปรับปรุงโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ด้วยเทคโนโลยี CCS จะไม่ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า และการใช้ระบบ CCS นั้นยังมีราคาแพงกว่าพลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานจากแบตเตอรี่ในประเทศไทยอีกด้วย ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) นั้น BNEF มองว่าประมาณการต้นทุนเทคโนโลยี SMRs ในปัจจุบันทั้งหมดสูงกว่าประมาณการต้นทุนสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิม ทั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิมและ SMRs มีราคาแพงกว่าพลังงานหมุนเวียนที่เสริมด้วยระบบกักเก็บพลังงานอย่างมาก

โดยการเสวนาหัวข้อสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

Shantanu Jaiswal หัวหน้าฝ่ายวิจัยอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ BloombergNEF กล่าวถึงการเปรียบเทียบไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า แต่ละประเทศก็มีแนวทางที่แตกต่างกันในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนไม่ว่าจะเป็นแสงอาทิตย์หรือลมก็ลดลงเหมือนกันหมด แต่ประเทศไทยมีข้อดีตรงที่มีแหล่งพลังงานหมุนเวียนหลากหลาย

สิ่งที่ควรทำคือต้องเริ่มใช้โอกาสที่มีในปัจจุบัน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเอกชน Shantanu มองว่า ตอนนี้ไทยยังไม่มีกลไกชัดเจนที่ส่งเสริมให้เอกชนเข้ามาร่วมมือ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและสร้างความสนใจมากขึ้น และควรเปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการสายส่งไฟฟ้าให้มากขึ้น ทำอย่างไรให้สายส่งของเรายืดหยุ่น เพิ่มตัวเลือกให้คนสามารถเลือกพลังงานหมุนเวียนได้ วิธีการเหล่านี้จะเร่งความเร็วให้เราผลักดันให้ใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

Shantanu กล่าวว่า ควรเร่งให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียนทุกมิติ ไม่ใช่แค่การผลิต ซึ่งลดต้นทุนและพัฒนานวัตกรรมได้ด้วย

ดร.ศุภวรรณ แซ่ลิ้ม หัวหน้าโครงการ นโยบายพลังงาน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Agora Energiewendeให้ความคิดเห็นต่อรายงานของ BNEF ฉบับนี้ในประเด็นการเตรียมพร้อมสำหรับไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทยไว้ว่า รายงานฉบับนี้เป็นหลักฐานให้เห็นถึงเทคโนโลยีและค่าใช้จ่ายการผลิตไฟฟ้าแล้วว่า การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ควบคู่กับแบตเตอรี่ถูกกว่าโรงไฟฟ้าจากถ่านหินและก๊าซ ในอนาคตค่าใช้จ่ายจากโรงไฟฟ้าก๊าซและถ่านหินในประเทศไทยจะแพงขึ้น เพราะเราต้องไปผสมกับเทคโนโลยีอื่นด้วย ข้อสรุปจากรายงานเปลี่ยนการวางแผนการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งไทยสามารถหลีกเลี่ยงภาระทางการเงินได้

โดย Agora Energiewende มองว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงจากการพึ่งพาการนำเข้าก๊าซมากเกินไป เทคโนโลยีลดคาร์บอนที่มีความเสถียรต่ำ และจากนโยบายด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ตอบสนองความต้องการของเอกชน เราจำเป็นจะต้องเร่งศักยภาพของพลังงานแสงอาทิตย์โดยเฉพาะการเก็บกักพลังงาน ศุภวรรณกล่าวว่า “แผนพลังงานที่มีอยู่ช้ากว่าความต้องการของภาคเอกชน และพึ่งพาเทคโนโลยีที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้มากเกินไป เราต้องมีการวางแผนที่ชาญฉลาด ใช้ไฟฟ้าจากหลากหลายแหล่งมากขึ้น รัฐบาลต้องวางแผนอนาคตที่สอดคล้องกับตลาดมากขึ้นและแม่นยำมากขึ้น”

นอกจากนี้ ศุภวรรณยังระบุว่า การลงทุนในโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าสำคัญมาก “เราจำเป็นต้องลงทุนในสายส่ง เพราะในอนาคตเราจะใช้พลังงานจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม มากขึ้น เราต้องเตรียมสายส่งให้พร้อมเพื่อให้ระบบไฟฟ้าของเราเสถียรและเชื่อถือได้

ด้าน นายอรรถิศ เวชากิจ รองประธานชมรมอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สหพันธ์อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) กล่าวว่า พวกเราขอยืนยันถึงความต้องการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy – RE) ในประเทศไทย และผลักดันให้มีการปรับแผน PDP จากรูปแบบดั้งเดิมไปสู่แนวทางใหม่ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและความต้องการของประเทศในอนาคต

เราเชื่อมั่นในศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนมาโดยตลอด โดยตระหนักว่า RE เป็นแหล่งพลังงานที่มั่นคง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถตอบโจทย์การเติบโตของเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมได้อย่างยั่งยืน

โดยเราขอให้พิจารณา 3 ประเด็นหลัก ดังนี้

1.ต้นทุนที่ลดลงของพลังงานหมุนเวียน ด้วยข้อมูลล่าสุด เราสามารถพิสูจน์ได้ว่า RE มีต้นทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่การผลิตและการดำเนินการเมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานเดิม

2.เร่งรัดแผนพัฒนาใน 5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยต้องวางแผนและดำเนินการให้เร็วที่สุดภายใน 5 ปี โดยเฉพาะการลงทุนในโซลาร์ วินด์ และระบบกักเก็บพลังงาน เพื่อรองรับความต้องการด้านไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมและบริการอย่างมีเสถียรภาพ

3.เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย ปัจจุบันผู้ผลิตและลูกค้าทั่วโลกให้ความสำคัญกับการปล่อยคาร์บอนต่ำ ผู้ประกอบการไทยในฐานะ OEM ต้องสามารถแสดงแผนด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานสะอาดได้ชัดเจน หากไม่สามารถตอบสนองข้อกำหนดเหล่านี้ได้ ก็เสี่ยงต่อการสูญเสียลูกค้าให้กับประเทศอื่น

โดยแผน PDP 2024 จำเป็นต้องสะท้อนถึงแนวโน้มนี้ให้ชัดเจน เราสนับสนุนข้อเสนอที่ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ และให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

เราขอยืนยันกับ ดร.ศุภวรรณ แซ่ลิ้ม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าประเทศไทยต้องมีคือหลักในการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน และดำเนินการเชิงรูปธรรมมากกว่าการแสดงออกเชิงนโยบายเพียงอย่างเดียว

โดยในแผน PDP ปัจจุบันยังคงมีการใช้พลังงานจากฟอสซิลมากเกินไป ส่งผลให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าไฟที่สูงในระยะยาว นอกจากนี้ ด้วยสภาพเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การคาดการณ์ความต้องการพลังงานในระยะยาวจึงทำได้ยาก เราจึงควรปรับแผนทุกปี และวางกรอบ 5 ปีล่วงหน้าอย่างยืดหยุ่น เพื่อสะท้อนอุปสงค์-อุปทานอย่างแท้จริง

จากการประเมิน หากเราสามารถปรับโครงการให้มีความ “Smart” มากขึ้น มาร์จิ้นอาจอยู่ที่ประมาณ 10% ภายใน 1 ปี เราจึงต้องลงทุนในโซลาร์ วินด์ และระบบกักเก็บพลังงานมากขึ้น โดยไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย และเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าให้สามารถรับพลังงานหมุนเวียนได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมองเห็นโอกาสในการขยายระบบไฟฟ้าโดยไม่ต้องลงทุนสูง หากมีการวางแผนและจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ประเด็นที่เรากังวลเป็นพิเศษคือ นโยบาย “Zero Export” ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน RE ซึ่งส่งผลให้ประเทศต้องสูญเสียเงินในเชิงพลังงานหลายพันล้านบาทต่อปี แทนที่จะใช้ศักยภาพของ Third Party Access ที่ยังไม่ถูกนำมาปฏิบัติจริง

อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญก็คือ การเปิดให้บุคคลที่สามเข้ามาใช้หรือเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้า (Third party access) อาทิตย์ตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่มีการพูดถึงว่าเราจะเก็บค่าสายส่งเท่าไร ทั้งที่ กฟผ. กฟน. และ กฟภ.มีนโยบายตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งที่เรื่องนี้เป็นกระดูกสันหลัง
อุปสรรคอีกประการหนึ่งของผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนคือ การกำกับดูแลที่ใช้เวลานานเกินไป การขออนุญาตดำเนินการโซลาร์ฟาร์มต้องใช้เวลานาน 1.5 ปี “ต้องทำอย่างไรให้เร็วขึ้น ตอนนี้เหมือนเป็นสิ่งที่คุมกำเนิดการนำเอาพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในประเทศ”

สุดท้าย หวังว่าแผน PDP ฉบับใหม่ จะถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ในราคาที่เหมาะสม และสร้างระบบไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ มั่นคง และยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ขณะเดียวกัน นายชัพมนต์ จันทรพงศ์พันธุ์ รองประธานผู้บริหารอาวุโส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER กล่าวว่า เรามองว่าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy: RE) คืออนาคตและเป็นทางออกที่จะนำพาทุกภาคส่วนไปสู่เป้าหมายร่วมกัน ทั้งด้านพลังงานสะอาด ความมั่นคงทางพลังงาน และเป้าหมาย Net Zero ที่ประเทศไทยได้ตั้งไว้

สำหรับรายงานฉบับดังกล่าวนี้สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวที่สำคัญในภาคเอกชน โดยเราตัดสินใจลงทุนในโซลาร์ไฮบริด ซึ่งสอดรับกับนโยบายของภาครัฐที่เปิดกว้างให้มีการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยบริษัทของเรากำลังพิจารณาการลงทุนภายใต้กรอบของโครงการ CLA (Clean Low-carbon Alternative) เพื่อสร้างความมั่นคงในระบบพลังงานของประเทศ

โดยเราเชื่อว่าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar)และไบโอแก๊ส เป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันด้านการผลิตพลังงานในระยะยาว ซึ่งต้องมีการเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีแบตเตอรี่ (Battery Storage) เข้ามาเสริม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพลังงาน

มีความเห็นตรงกันกับอาทิตย์ในประเด็นความล่าช้าของภาครัฐ โดยกล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมระบบเก็บกักขนาดไม่ถึง 100 เมกะวัตต์สามารถทำได้ภายใน 4-8 เดือน แต่การขอใบอนุญาตต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี

ชัพมนต์ยกตัวอย่างกระบวนการขอใบอนุญาตการทำโซลาร์ฟาร์มที่เป็นอยู่ว่า ต้องขอใบอนุญาตถึง 8 อย่างตั้งแต่การก่อสร้าง ตั้งโรงงาน การวางผังเมือง ขอผลิตไฟฟ้า (แบบดั้งเดิม)​ เป็นการทับซ้อนขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ใช้เวลานานมากสำหรับผู้พัฒนา อยากจะแนะนำให้เลิกทำสิ่งเหล่านี้ ทำกฎระเบียบให้เป็นแนวทางเดียวกัน “ตอนนี้ในประเทศไทย มีสามองค์กรที่ทำเรื่องไฟฟ้าในหลายกระทรวง การประสานกฎระเบียบต่างๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นจริง”

ในส่วนของผู้ทำธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ชัพมนต์กล่าวว่า ธุรกิจไม่รอภาครัฐและไม่หวังการสนับสนุนจาก FiT แล้ว แต่ติดต่อกับลูกค้าโดยตรงเอง ไม่รอนโยบาย direct PPA จากภาครัฐ โดยยกตัวอย่างการทำธุรกิจกับบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่ติดต่อเข้ามาเอง ต้องการบริษัทให้ผลิตไฟฟ้า 50 เมกะวัตต์ เราก็ไปซื้อที่ดินและตั้งโรงไฟฟ้าข้างบริษัทลูกค้าเลย เพื่อให้ลูกค้าดำเนินการตามเป้าหมายลดคาร์บอนได้ ซึ่งภาครัฐสามารถออกนโยบายสนับสนุนประเด็นนี้ได้

ถ้า third-party access เกิดขึ้นได้จริง ผมก็ไม่ต้องไปซื้อที่ดินใกล้กับโรงงานของลูกค้า ต้นทุนก็ถูกลง พื้นที่ตรงนั้นก็เอาไปใช้ทำอย่างอื่นได้ ทำให้ค่าไฟถูกลง” ชัพมนต์ กล่าว

นอกจากนี้ ภาครัฐหรือผู้มีอำนาจต้องตระหนักว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก เราเผชิญปัญหาที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ถ้าเรายังทำงานแบบดั้งเดิม เช่น มองความมั่นคงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม เราคงไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้

Back to top button