“พิชัย” ขอเวลาเคาะแผนกระตุ้น 1.57 แสนล. คุมเข้มโครงการต่ำ 5 แสน-จัดซื้อพิเศษปิดช่องทุจริต

พิชัย ชุณหวชิร ประธานอนุกรรมการกลั่นกรอง ยังไม่ได้ข้อสรุปงบ 1.57 แสนล้านบาท ยันพิจารณารัดกุม หวั่นเงินรั่วไหล กำหนดให้ทุกโครงการไม่ให้ใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างวิธีพิเศษ และตัดโครงการต่ำกว่า 5 แสนบาท เลื่อนประชุมบอร์ดใหญ่ 11 มิ.ย. ด้าน นายก กำชับทุกงบประมาณต้องโปร่งใส


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (10 มิ.ย.68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะประธาน คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท เปิดเผยประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองยังไม่ได้ข้อสรุปโครงการที่ขอใช้เงิน ซึ่งต้องพิจารณาอย่างละเอียดเพื่อให้โครงการที่ใช้งบดังกล่าวเข้าเงื่อนไข 4 กลุ่มเป้าหมายที่กำหนด ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้แก่

1.โครงสร้างพื้นฐาน ด้านน้ำ คมนาคม 2.การพัฒนาภาคการท่องเที่ยว 3.ลดผลกระทบภาคการส่งออก และ4.เศรษฐกิจชุมชน ทั้งนี้ ในการประชุมคณะ ที่มี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน วันที่ 11 มิถุนายนนี้ จึงต้องเลื่อนออกไปก่อน

การพิจารณาโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท เราจะไม่รีบร้อน เพราะเงินก้อนใหญ่ และเงินต้องใช้ให้เข้าเงื่อนไขตามกรอบที่กำหนด หากเสนอมาไม่ตามเงื่อนก็ต้องกลับไปทบทวน” นายพิชัย กล่าว

ด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า ที่ประชุม ครม. วันนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้พิจารณาเรื่องการใช้งบประมาณใน 3 ส่วน ได้แก่ 1.งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้าน 2.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 และ 3.งบประมาณกลาง ให้ดำเนินการอย่างรัดกุมและกลั่นกรองอย่างละเอียด ระมัดระวัง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม การประชุมคณะอนุกรรมการ วันนี้จะมีการกำหนดกรอบการใช้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ให้มีการลงรายละเอียดให้มีความชัดเจนมากขึ้น อาทิ โครงการน้ำจะต้องเป็นโครงการในพื้นที่ที่เกิดปัญหาน้ำท่วม หรือภัยแล้งซ้ำซาก ไม่ใช่ในพื้นที่ใดก็ได้ ส่วนโครงการถนนต้องเป็นโครงการที่เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โลจิสติกส์ของประเทศได้

ขณะเดียวกัน กำหนดให้ทุกโครงการไม่ให้ใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างวิธีพิเศษ จะต้องมีการประมูลโครงการตามวิธีปกติ รวมทั้งจะไม่พิจารณาโครงการที่วงเงินต่ำกว่า 5 แสนบาท เพื่อไม่ให้เม็ดเงินเกิดการรั่วไหล

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังมีเวลาพิจารณาโครงการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ เนื่องจากประเมินว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 เมื่อมาตรการภาษีของสหรัฐจะมีความชัดเจนและคลี่คลายมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีข่าวดีแล้วว่าไทยจะได้เจรจากับสหรัฐอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งถ้าเป็นไปได้ด้วยดี ผลกระทบทางเศรษฐกิจก็จะเบาบางลง อย่างไรก็ตาม ภาษีศุลกากรพื้นฐานที่สหรัฐจะเก็บทุกประเทศ 10% น่าจะยังคงอยู่ แต่ขอให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศคู่ค้าและประเทศคู่แข่ง

Back to top button