
CGSI มอง SET “รีบาวด์” 1,105-1,135 จุด พร้อมแนะลงทุน 2 หุ้นเด่น
CGSI มอง SET รีบาวด์ บริเวณ 1,105-1,135 จุด พร้อมแนะลงทุน 2 หุ้นเด่นอย่าง KBANK-CPALL รับปัจจัยบวกเฉพาะ
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ (17 มิ.ย.68) ระบุว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก โดยดัชนี DJIA เพิ่มขึ้น 0.75%, S&P500 เพิ่มขึ้น 0.94%, Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.52% ได้แรงหนุนจากสัญญาราคาน้ำมัน (WTI) ที่ชะลอตัวลงเมื่อวาน -1.66% หลังจากอิหร่านส่งสัญญาณพร้อมเจรจาเพื่อยุติการสู้รบกับอิสราเอล
นอกจากนี้ ตลาดเชื่อว่าการสู้รบระหว่างอิสราเอล-อิหร่านจะไม่ขยายเป็นวงกว้าง และส่งผลต่อ การส่งออก-การผลิต ของน้ำมันดิบ อย่างมีนัยยะ (อ้างอิง WSJ) ภาพดังกล่าวส่งผลให้ สัญญาทองคำ (COMEX) ปรับตัวลดลง (-1.03%) จากแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ตลาดยังคงจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นวันนี้ (BOJ) โดยตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) วันพฤหัสฯ นี้
โดยทางฝ่ายวิจัยคาดว่า SET Index จะเคลื่อนไหว Sideway-Sideway up บริเวณ 1,105-1,135 จุด ลุ้น Technical rebound เป็นรายตัว ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังตลาดมีความผ่อนคลายมากขึ้นว่า ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่านจำกัด และ ไม่ลุกลามเป็นสงครามในระดับภูมิภาค เมื่อเทียบกับความวิตกกังวลในช่วง 3 วันที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เราและตลาดมองว่า มีความเป็นไปได้น้อย ที่สถานการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่การปิดช่องแคบ Hormuz (เส้นทางนี้คิดเป็นราว 20% ของทางผ่านของน้ำมันดิบโลก) เนื่องจากเป็นเส้นทางหลักของอิหร่าน
โดยแนะนำระมัดระวังการ Take profit กลุ่มพลังงาน อาทิ กลุ่มพลังงานต้นน้ำ (PTTEP), กลุ่มโรงกลั่นต้นน้ำ (TOP, BCP SPRC) เนื่องจากราคาน้ำมันดิบโลกยังมีความผันผวน และ ล่าสุด เช้านี้ ราคาน้ำมันดิบโลกกลับมาผันผวนเล็กน้อย (+2.3%) หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องให้อพยพคนออกจาก กรุงเตะหราน (Tehran) เมืองหลวงของอิหร่าน และกล่าวว่าให้ ลงนามข้อตกลง เพื่อยุติ ความขัดแย้งกับอิสราเอล
สำหรับปัจจัยหนุนในประเทศ เชื่อว่าตลาดยังคงรอ 1) การเมืองในประเทศ และ 2) ข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา โดยล่าสุด จากการประชุมล่าสุด (14-15 มิ.ย.68) ยังไม่มีข้อสรุปเพิ่มเติม หลังจากประเทศไทยใช้กลไกทวิภาคี (JBC) แก้ปัญหาเขตแดนไทยและกัมพูชา ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชา เลือกเสนอพื้นที่ทั้ง 4 จุดไปสู่การพิจารณาของศาลโลก (ICJ) ทั้งนี้จับตาการประชุม JBC ครั้งถัดไปในเดือน ก.ย. นี้
สำหรับประเด็นอื่นๆ หุ้นในประเทศ
1) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขสัญญา King Power โดยใช้ระยะเวลา 60 วัน เพื่อหาจุดร่วมระหว่างทั้งสองฝ่าย ทางฝ่ายวิจัยมองว่าโอกาสที่ Duty fee ถูกยกเลิกมีความเป็นไปได้น้อย และ Minimum Guarantee (MAG) มีแนวโน้มจะถูกปรับลดลงแทน
2) บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF มีรายงานข่าวว่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เข้าซื้อหุ้น Big lot จำนวน 62.97 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 39.75 บาท
3) บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ราคาหุ้นปรับตัวลดลง จากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่กัมพูชาอาจสั่งแบนสินค้านำเข้าจากไทย โดยกัมพูชา เป็นตลาดส่งออกหลักของ CBG คิดเป็น 60% ของยอดขายส่งออก และ 28% ของรายได้เครื่องดื่มชูกำลังใน 2567
4) SET ประกาศหุ้นที่ใช้คำนวณ SET50 และ SET100 ในช่วงครึ่งปีหลัง : หุ้นที่เข้า SET50 ได้แก่ BCP, KKP, TCAP TIDLOR และหุ้นที่ออก SET50 ได้แก่ BGRIM, GLOBAL, ITC, SAWAD และหุ้นที่เข้า SET100 ได้แก่ AURA, JTS, MBK, TFG, TOA, WHAUP และหุ้นที่ออกจาก SET100 ได้แก่ CKP, COCOCO, ROJNA, SAPPE, SKY, SNNP
ส่วนหุ้นแนะนำ มีดังนี้
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เชื่อว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับ GULF ที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจบริการทางการเงินและธุรกิจสินเชื่อดิจิทัล และ KBANK และ AIS อาจร่วมมือกันในรูปแบบการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (JV) เพื่อให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล และมี Dividend yield ที่น่าสนใจราว 5.8-7.4% สำหรับ 2568-2570 (Take profit : 157.0 / Stop loss : 149.5)
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่าไตรมาส 2/2568 ยังแข็งแกร่งจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่เพิ่มขึ้นจาก Product mix นอกจากนี้ เชื่อว่าการซื้อหุ้นคืน 150 ล้านหุ้น ที่ราคาไม่เกิน 57.99 บาท ระหว่างวันที่ 16 พ.ค.-14 พ.ย.2568 จะหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน (Take profit : 49.5 / Stop loss : 42.0)