
จับตา “หุ้นยางไทย” หลังมาเลย์ขึ้นภาษี SST 5% ทำต้นทุน Top Glove พุ่ง
Apex Securities ชี้มาตรการจัดเก็บภาษี SST 5% ของมาเลเซียดันต้นทุนผู้ผลิตถุงมือยางพุ่ง เปิดทางบริษัทไทยแย่งตลาดส่งออกน้ำยางโลก หนุนกลุ่ม STA–NER–TRUBB-TEGH-STGT ได้เปรียบด้านราคาและซัพพลาย
บริษัทหลักทรัพย์ Apex Securities เปิดเผยว่า การบังคับใช้ภาษีการขายและบริการ (SST) อัตรา 5% สำหรับน้ำยางธรรมชาติ (NR) และน้ำยางไนไตรล์บิวทาไดอีน (NBR) ที่จะมีผลในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ตามคำสั่ง PU(A) 170/2025 มีแนวโน้มส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการของผู้ผลิตถุงมือยางในประเทศมาเลเซีย และลดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความต้องการจากตลาดที่ชะลอตัว
โดยการจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนรวมของบริษัท Hartalega Holdings Bhd เพิ่มขึ้นถึง 15% ส่งผลให้ต้องปรับลดประมาณการกำไรลง 1.5% สำหรับปีงบการเงิน 2569 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2569), ลดลง 4% ในปีงบ 2567 และอีก 3.7% ในปีงบ 2568 พร้อมกับปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 1.76 ริงกิตต่อหุ้น
สำหรับ Top Glove Corporation Bhd ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่อีกแห่ง Apex ประเมินว่าจะขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานหลักราว 6.1 ล้านริงกิตในปีงบ 2568, ขาดทุน 52.1 ล้านริงกิตในปี 2569 และอีก 51.9 ล้านริงกิตในปี 2570 โดยมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นราว 2% จึงได้ปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 0.78 ริงกิต
นอกจากผลกระทบจาก SST แล้ว Apex ยังชี้ถึงแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่ลดลงจากตลาดสหรัฐอเมริกา และภาวะวัตถุดิบล้นตลาดในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งได้รับแรงกดดันจากผู้ผลิตในประเทศจีนที่ขยายกำลังการผลิตเข้าสู่ภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม กรมศุลกากรมาเลเซียได้ประกาศให้สิทธิผ่อนผัน (grace period) สำหรับการจัดเก็บ SST 5% เฉพาะในกรณีของน้ำยางดิบ ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ขณะที่ผู้ผลิตถุงมือยางยังอยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาลเพื่อหาทางผ่อนคลายผลกระทบ
ขณะเดียวกัน สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางมาเลเซีย (MARGMA) ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาเลื่อนหรือทบทวนการจัดเก็บภาษี SST ดังกล่าว โดยชี้ว่าวัตถุดิบอย่าง NR และ NBR เป็นส่วนสำคัญในการผลิตถุงมือยาง และการเก็บภาษีนี้จะบั่นทอนศักยภาพการส่งออกของอุตสาหกรรมที่เคยเป็นผู้นำตลาดโลกในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ตาม จากกรณีดังกล่าวมีโอกาสที่ผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำยางของไทยจะได้รับประโยชน์ ในฐานะประเทศคู่แข่งโดยตรงของมาเลเซีย โดยบริษัทไทยสามารถใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนและซัพพลายที่มีความเสถียร เพื่อขยายตลาดส่งออกหรือทดแทนการจัดหาวัตถุดิบของลูกค้าทั่วโลกที่เคยพึ่งพามาเลเซีย
โดยบริษัทที่มีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำยางและถุงมือยางครบวงจรรายใหญ่ของไทย, บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER, บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH, บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT และบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ซึ่งมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากคำสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย เช่น จีน, เวียดนาม, อินโดนีเซีย รวมถึงสหรัฐอเมริกา