
EGCO รุกกลยุทธ์ “Power 4” ทุ่ม 3 หมื่นล้าน ปิด 2 ดีลยักษ์ต้นปี 69
EGCO งัดกลยุทธ์ปี 69 เดินหน้าสร้างรายได้และกำไรควบคู่ความยั่งยืน ตั้งงบลงทุน 3 หมื่นล้านบาท ชูกลยุทธ์ “Power 4” เดินหน้าลงทุนไฟฟ้าก๊าซและพลังงานหมุนเวียน เสริมพอร์ตสหรัฐ–ฟิลิปปินส์ จ่อปิดดีลยักษ์ใหญ่ใหม่ครึ่งแรกปี 69 พร้อมตั้งเป้าเพิ่มพลังงานสะอาด 30% ปี 73 และสู่ Net Zero ในปี 93
นายธวัชชัย สำราญวานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยถึงทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทในปี 2569 ว่า บริษัทยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างรายได้และผลกำไรอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนซึ่งถือเป็นทิศทางสำคัญของการพัฒนาธุรกิจในอนาคต
โดยบริษัทเชื่อว่าการเติบโตอย่างยั่งยืนต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนหากไม่สามารถดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับพันธมิตรและผู้เกี่ยวข้องได้ ก็อาจไม่ก่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ EGCO ได้กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินธุรกิจไว้ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงาน กลุ่ม EGCO วางกรอบการขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “Power 4” ได้แก่ 1.Profitability and Performance Energizing มุ่งเน้นการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างต่อเนื่องจากธุรกิจหลัก ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ผ่านการบริหารอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับเหมาะสม การรักษาอันดับความน่าเชื่อถือจากสถาบันจัดอันดับ และการให้ความสำคัญกับการสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ
2.Power and Energy-realated Focus บริษัทยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นหลักเนื่องจากปัจจุบันมากกว่า 90% ของรายได้มาจากธุรกิจไฟฟ้า โดยจะลงทุนในโรงไฟฟ้าที่มีการผสมผสานระหว่างก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน ทั้งในรูปแบบการควบรวมและซื้อกิจการซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านการพัฒนาโครงการ และการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นหรือโครงการกรีนฟิลด์ ซึ่งเอื้อต่อการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
3.Portfolio Optimization เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน ลดต้นทุนผนึกพลังร่วมเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจและบริษัทในกลุ่ม รวมถึงการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ และนำเงินที่ได้จากการขายไปลงทุนใหม่ รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตการลงทุนในตลาดพลังงานสหรัฐอเมริกา
4.Proative Organization Excellence ปรับโครงสร้างองค์กรและพัฒนาศักยภาพบุคลากร นำAI มาบูรณาการในการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
ส่วนของเป้าหมายและแผนการดำเนินงานด้านการมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ กลุ่ม EGCO ได้กำหนดเป้าหมายไว้ 3 ระยะ โดยเป้าหมายระยะสั้นภายในปี 2573 ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนจากประมาณ 22% เป็น 30% พร้อมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินธุรกิจลงอย่างน้อย 10% โดยมีแผนนำไฮโดรเจนมาผสมกับก๊าซธรรมชาติหรือเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันได้ทดสอบความสำเร็จแล้วในโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา และอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายผลสู่โรงไฟฟ้าในประเทศไทย
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาการใช้เทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน หรือ Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) ในโรงไฟฟ้าหลายแห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับการแสวงหาโอกาสลงทุนในเทคโนโลยีไฮโดรเจนตลอดห่วงโซ่อุปทาน และการเพิ่มการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซธรรมชาติซึ่งยังเป็นเชื้อเพลิงหลักในช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
สำหรับเป้าหมายระยะกลางในปี 2583 กลุ่มEGCO ตั้งเป้ามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนโดยจะเพิ่มการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมผสมผสานการใช้ไฮโดรเจนหรือแอมโมเนีย รวมถึงเทคโนโลยี CCUS ซึ่งคาดว่าในช่วงเวลาดังกล่าวเทคโนโลยีจะมีความพร้อมและต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้
ขณะที่เป้าหมายระยะยาวในปี 2593 บริษัทตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero Emissions โดยจะปรับพอร์ตการลงทุนทั้งหมดไปสู่พลังงานสะอาด ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยี CCUS ในทุกกลุ่มธุรกิจ
นายธวัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของกลุ่ม EGCO ในปี 2569 มาจากฐานการลงทุนที่กระจายอยู่ในประเทศไทยและอีก 6 ประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะเป็นแหล่งสร้างรายได้หลัก จากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน Pinnacle II กำลังการผลิตรวม 251 เมกะวัตต์ และการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้า Linden Cogen เป็น38% ส่งผลให้การรับรู้รายได้จากพอร์ตการลงทุนในสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าในสหรัฐยังสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดและรองรับความต้องการของกลุ่มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตต่อเนื่อง โดยทิศทางราคาขายไฟฟ้าในตลาดสหรัฐยังอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการขยายตัวของรายได้
นอกจากนี้ การลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าเคซอน ซึ่งได้มีการลงนามสัญญาฉบับใหม่เรียบร้อยแล้ว จะช่วยให้กลุ่ม EGCO สามารถรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นเต็มปีในปี 2569 ขณะที่การลงทุนในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ยังคงมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว และจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวของรายได้ในอนาคต
ส่วนในประเทศไทย กลุ่ม EGCO ได้รับการคัดเลือกโครงการผลิตไฟฟ้าภายใต้โครงการ RE Big Lot รอบที่ 2 จำนวน 11 โครงการ กำลังการผลิตรวม 448 เมกะวัตต์ แม้ยังไม่ก่อให้เกิดการรับรู้รายได้ในปี 2569 แต่สะท้อนทิศทางการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการให้พร้อมจ่ายไฟตามแผนในอนาคต รวมถึงการเตรียมความพร้อมรองรับนโยบายการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าดาต้าเซ็นเตอร์ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ขณะเดียวกัน นายธวัชชัยได้อัปเดตความคืบหน้าโครงการสำคัญที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน โดยเฉพาะการลงทุนในสหรัฐอเมริกาผ่านกลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียน Apex ซึ่งกลุ่ม EGCO ถือหุ้นอยู่ประมาณ 17.46% โดย Apex มีรูปแบบธุรกิจที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนา ก่อสร้าง ไปจนถึงการจำหน่ายโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งสามารถจำหน่ายได้ตั้งแต่ช่วงพัฒนาโครงการหรือระหว่างก่อสร้าง ถือเป็นโมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์นักลงทุน ปัจจุบัน Apex มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างรวม 4 โครงการ กำลังการผลิตรวม 637 เมกะวัตต์
ประกอบด้วย 1.Coldwater Solar กำลังการผลิต150 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปีหน้า และโครงการพลังงานลมอีก 3 โครงการได้แก่ โครงการ Bowman Wind ในรัฐนอร์ทดาโคตา กำลังการผลิต 209 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกของปีหน้า, โครงการ Lotus Wind กำลังการผลิต 200 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ของปีหน้า และโครงการRocky Forge Wind ในรัฐเวอร์จิเนีย กำลังการผลิต 78 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีหน้า
สำหรับการลงทุนในฟิลิปปินส์ นายธวัชชัย ระบุว่าโรงไฟฟ้าเคซอนได้เริ่มเดินเครื่องตามสัญญาฉบับใหม่เรียบร้อยแล้ว ด้วยกำลังการผลิตตามสัญญา400 เมกะวัตต์ และเริ่มจ่ายไฟตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2568 ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศ และสร้างรายได้ให้กับกลุ่ม EGCO อย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ บริษัทวางกรอบงบลงทุนไว้ปีละประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยเบื้องต้นประเมินสัดส่วนการลงทุนระหว่างโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโครงการพลังงานหมุนเวียนไว้ที่ราว80:20 อย่างไรก็ดี สัดส่วนดังกล่าวสามารถปรับได้ตามโอกาสการลงทุนที่เหมาะสม เนื่องจากเป้าหมายของกลุ่ม EGCO คือการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนพลังงานหมุนเวียนให้แตะ 30% ภายในปี2573 ทั้งนี้ งบลงทุน 30,000 ล้านบาทต่อปีครอบคลุมทั้งการเข้าซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการ และการพัฒนาโครงการใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น
นายธวัชชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการทำดีลใหม่ว่า บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างพิจารณาทั้งกลุ่มก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน โดยคาดว่าจะมีความคืบหน้าการปิดดีลกระจายในหลายช่วงไตรมาสของปีหน้า และอย่างน้อยมีประมาณ 2 โครงการที่คาดว่าจะปิดได้ภายในไตรมาส 2 ของปีหน้า โดยเป็นโครงการก๊าซธรรมชาติ ขณะที่การทำ Asset Recycling ในประเทศยังอยู่ระหว่างประเมินและยังไม่สามารถให้ตัวเลขชัดเจนได้ในขณะนี้ แต่เบื้องต้นอยู่ในระดับ “พันล้านบาท” ตามกรอบการพิจารณาของบริษัท

