
KS แนะ “ซื้อ” SCC เป้า 178 บาท รับอานิสงส์ปิโตรเคมีฟื้น-ปันผลเด่น
บล.กสิกรไทย มองบวก SCC ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมีและซีเมนต์ พร้อมลุ้นเงินปันผลสูง 7-8 บาทต่อหุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมราคาเป้าหมาย 178 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS ระบุถึงบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ภายหลังการประชุมอัปเดตภาพรวมอุตสาหกรรม โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มธุรกิจในระยะถัดไป โดยผู้บริหารเชื่อว่าจะมีการปรับประมาณการอุปสงค์และอุปทานของธุรกิจปิโตรเคมี (petrochemical demand/supply) โดยหน่วยงานภายนอก third-party agencies ภายใน 6-12 เดือนข้างหน้า จากการที่โรงงานในยุโรปมีการปิดกำลังการผลิต ทั้งถาวร ชั่วคราว และเพื่อซ่อมบำรุง ซึ่งจะช่วยลดภาวะอุปทานล้นในตลาด ขณะที่บริษัทเตรียมเริ่มเดินเครื่องโครงการ LSP อีกครั้งในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน โดยคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตได้ต่อเนื่องราว 3 เดือน
ด้านผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 จะมีรายการพิเศษ ได้แก่ 1) การรับรู้ negative goodwill ของ CAP จากการรวมงบประมาณ 2 เดือน, 2) การตีมูลค่าหุ้น CAP ที่ถืออยู่ในส่วนที่ไม่ได้ขาย 20% ตามมูลค่ายุติธรรม (fair value), และ 3) ส่วนของกำไรจากการขายหุ้น CAP 10% จะยังไม่ถูกรับรู้จนกว่าดีลการขายจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ซื้อ
ทั้งนี้ core earnings ของบริษัทในไตรมาส 2/68 คาดว่าจะดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจปิโตรเคมีและซีเมนต์ที่ฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงการรับรู้รายได้จากเงินปันผล โดยปริมาณขายในธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวดีขึ้น และ spread ของผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ PE, PP, และ PVC ต่างปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์ได้ประโยชน์จากการปรับราคาขายซีเมนต์
ผู้บริหารประเมินว่าเงินปันผลที่จะจ่ายปีนี้จะอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ (competitive yield) โดยมีโอกาสที่ประมาณการของนักวิเคราะห์จะปรับขึ้น (upside) ทั้งนี้ SCC คาดว่า dividend yield จะอยู่ในช่วง 4-5% หรือ 7-8 บาทต่อหุ้น เทียบกับปีก่อนที่จ่าย 5 บาทต่อหุ้น
ในด้านฐานะทางการเงิน ผู้บริหารคาดว่า ณ สิ้นปี 2568 หลังจากการขายหุ้น CAP สัดส่วน 10% แล้ว อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA (Net debt/EBITDA) จะลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 5 เท่า และตั้งเป้าลดลงต่อเนื่องเหลือ 3.5 เท่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า
ส่วนประเด็นผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในกัมพูชา ผู้บริหารมองว่ามีผลกระทบน้อยมาก เนื่องจากบริษัทมีโรงงานอยู่ภายในประเทศกัมพูชา ขณะที่กรณีภาษีสหรัฐฯ (Trump Tariffs) SCC เตรียมปรับกลยุทธ์โดยการปรับให้มีประสิทธิภาพสูงสุดฐานการผลิตสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ผ่านฐานการผลิตที่มีภาษีต่ำกว่า เช่น ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับหุ้น SCC โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 178.00 บาทต่อหุ้น