
BBIK มั่นใจปีนี้รายได้โต 20% รับดีล “Virtual Bank” ลั่นเป้า 3 ปีเบียดเข้า SET100
BBIK มั่นใจรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 20% รับแรงหนุนดีล Virtual Bank พร้อมเร่งเครื่องธุรกิจต่างประเทศ ดันสัดส่วนรายได้แตะ 15% แย้มเตรียมเดินหน้าดัน 2 บริษัทลูกเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ พร้อมวางเป้าหมายชัดเบียดติด SET100 ภายใน 3 ปี
นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาชั้นนำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและการประยุกต์ใช้ AI ระดับองค์กร (AI-Led Enterprise Digital Transformation) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ผ่านคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Stock Exchange of Thailand หรือ SET) และได้ย้ายจาก ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าซื้อขายในตลาด SET กลุ่มเทคโนโลยี (TECH) หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสาร (ICT) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป
พร้อมกันนั้น บริษัทฯ ได้ปรับโลโก้และแท็กไลน์ใหม่เป็น “Ambition to Excellence” เพื่อสะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งมอบบริการที่เป็นเลิศให้แก่ลูกค้าและสังคม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม พร้อมกับเผยกลยุทธ์และแผนการดำเนินธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว สอดรับกับทิศทางเศรษฐกิจ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพการให้บริการที่ตอบโจทย์เทรนด์การทำธุรกิจยุคใหม่ เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างมั่นคง
นายพชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BBIK กล่าวเสริมว่า การย้ายเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามแผนที่วางไว้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 11 ปี อีกทั้ง ยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้น นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สำคัญยังเป็นปัจจัยสนับสนุนแผนการขยายตัวในอนาคตของบลูบิค ตอกย้ำการเป็นที่ปรึกษาชั้นนำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและการประยุกต์ใช้ AI ระดับองค์กรแบบครบวงจรในระดับภูมิภาค
“ปี 2568 ถือเป็นอีกปีที่เต็มไปด้วยความท้าทาย จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทั้งในและต่างประเทศ บริษัทฯ จึงปรับใช้กลยุทธ์ธุรกิจให้สอดรับกับสถานการณ์ในระยะสั้น พร้อมวางรากฐานการเติบโตในระยะยาว โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันยังคงเป็นกระแสหลักของการทำธุรกิจยุคใหม่ โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ AI ในภาคธุรกิจ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น (First Wave) เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายหรือมีทิศทางที่ชัดเจน การลงทุนด้านเทคโนโลยีจะกลับมาดำเนินการตามปกติ เพราะแผนการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต้องทำอย่างต่อเนื่อง” นายพชร กล่าว
สำหรับกลยุทธ์และแผนงานระยะสั้น BBKI ให้ความสำคัญกับการยกระดับกระบวนการทำงาน ลดต้นทุน และการนำเสนอบริการแบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่ ได้แก่ การนำเสนอ AI-Led Enterprise Digital Transformation ที่ผสาน AI เข้ากับบริการหลัก การปรับกลยุทธ์การขาย พัฒนาแผนอัปสกิล (Upskill) และรีสกิล (Reskill) ให้กับพนักงาน และยกระดับการทำงานระหว่างบริษัทแม่และบริษัทในเครืออย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้แล้วหากพูดถึงการลงทุน ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) นั้น นายพชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BBIK กล่าวว่า บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการทำงานร่วมกับภาคธนาคารมาโดยตลอด เราได้ขยายทีมงานที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะคนที่เคยทำงานอยู่ในกลุ่มสถาบันการเงินก็ได้เข้ามาร่วมงานกับเรามากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น จึงมองว่าธุรกิจกลุ่มนี้จะเป็นอีกหนึ่ง segment ที่สามารถเติบโตได้และเมื่อมีการเปิดให้จัดตั้ง Virtual Bank ขึ้น ก็ยิ่งส่งผลให้มีผู้เล่นหน้าใหม่และการลงทุนในรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ขณะที่ในบรรดา Virtual Bank ที่ได้รับใบอนุญาตทั้ง 3 ราย ขณะนี้ BBIK กำลังพูดคุยอยู่ 2 ราย และมีงานที่เริ่มต้นไปบ้างแล้ว แม้อาจยังไม่ใช่งานขนาดใหญ่ แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
อีกประเด็นสำคัญ คือ แนวนโยบายของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เน้น Virtual Bank ให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลโดยเฉพาะ Alternative Data มาใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ รวมถึงการนำ AI และ Data Analytics เข้ามาช่วยวิเคราะห์และตัดสินใจ ซึ่งทาง BBKI เองก็มีทีม Data และ AI ที่แข็งแกร่ง
“เรายังคงมีแผนในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการวางรากฐาน (foundation) ให้กับบริษัทในเครือให้มีความพร้อมมากขึ้น เราเชื่อว่าหลายบริษัทในกลุ่มมีศักยภาพที่จะเติบโตขึ้นเป็นบริษัทที่สามารถเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ด้วยตัวเอง” นายพชร กล่าว
ทั้งนี้ สิ่งที่ BBKI ทำคือการวางระบบการจัดการต่างๆ ทั้งในด้านบัญชี การเงิน และโครงสร้างภายในให้มีมาตรฐานเทียบเท่ากับบริษัทแม่ เพื่อให้บริษัทในเครือเหล่านี้ สามารถแยกตัวและยืนได้ด้วยตนเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการเติบโต และช่วยปลดล็อกมูลค่าทางธุรกิจ (Valuation) ที่แท้จริงของแต่ละบริษัทออกมาได้มากขึ้น
โดยมีหลายบริษัทที่อยู่ระหว่างการวางแผนเพื่อเติบโตขึ้นเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทที่มีความพร้อมมากที่สุดของเรามีอยู่ 2 บริษัทหลัก ได้แก่ 1.) Bluebik Vulcan ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยี ปัจจุบันมีพนักงานราว 300 คน ซึ่งด้วยขนาดและศักยภาพที่มีอยู่เชื่อว่าสามารถเติบโตต่อไปได้ด้วยตัวเองในอนาคต
2.) Innoviz Solutions Co., Ltd. ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ ERP โดยเฉพาะ Microsoft Dynamics และถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำตลาด เชื่อว่าในยุคดิจิทัลที่ทุกองค์กรจำเป็นต้องใช้ระบบ ERP บริษัทนี้มีศักยภาพสูงในการเติบโต และการระดมทุนจะช่วยเร่งการขยายธุรกิจให้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังรอจังหวะตลาด (Market Timing) ที่เหมาะสมก่อนนำเข้า IPO
ส่วนแผนของบริษัทที่สำคัญระยะเวลา 3 ปี นั้น BBKI ต้องการนำบริษัทเข้าอยู่ใน SET100 โดยสิ่งที่เรามองเป็นหลัก คือ การสร้างการเติบโตของกำไร ซึ่งคาดหวังว่ากำไรของบริษัทจะสามารถเติบโตได้อย่างน้อย “เท่าตัว” จากปัจจุบันและสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจ คือ การปรับโครงสร้างต่างๆ ภายในกลุ่ม ซึ่งจะทำให้เกิด (Economies of Scale) มากขึ้น กล่าวคือ ทำให้กำไรเติบโตในอัตราที่สูงกว่ารายได้
“อีกเรื่องสำคัญ คือ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เพราะเรามองว่าราคาหุ้นในตลาดขณะนี้ อาจยังไม่สะท้อนศักยภาพของเราอย่างแท้จริง ทั้งที่อัตราการเติบโตของเราเมื่อเทียบกับหลายบริษัทในอุตสาหกรรม ถือว่าสูงกว่าอย่างชัดเจน” นายพชร กล่าวว่า
ขณะที่ในแง่ของ Valuation เช่น ค่า P/E ของเรายังต่ำกว่าหลายบริษัท ทั้งที่ BBKI ทำกำไรและเติบโตได้ดี ซึ่งเรามองว่าต้องมีการสื่อสารกับตลาด เพื่อให้ตลาดเห็นภาพแผนการเติบโต และศักยภาพของกลุ่มบริษัทอย่างแท้จริง เมื่อผลประกอบการดีขึ้น และ Valuation มีการปรับตัวที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง เราก็จะมีโอกาสเข้าสู่ SET100
อีกทั้ง เป้าหมายการเติบโตในระยะ 3 ปีข้างหน้า มองว่าอีกหนึ่งเครื่องมืออย่างการควบรวมกิจการ (M&A) จะมีบทบาทสำคัญในแผนนี้ แต่บริษัทจะไม่ใช้ M&A เพื่อเร่งตัวเลขกำไรเพียงอย่างเดียว หากแต่มุ่งเน้นการทำ M&A ที่เกิด “Synergy” อย่างแท้จริง เช่น การเข้าซื้อกิจการที่สามารถนำมาต่อยอดร่วมกับธุรกิจปัจจุบัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการเติบโตที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่การซื้อเพื่อขยายขนาดโดยไม่มีคุณค่าเพิ่ม
ส่วนเป้าหมายการเติบโตของ BBKI นั้น บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปีนี้ไว้ที่ 20% เหมือนที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้า และหากถามถึงรายได้ธุรกิจที่มาจากต่างประเทศนั้น ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้จากตลาดต่างประเทศยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างคงที่ คือประมาณ 10% ของรายได้รวมทั้งหมด อย่างไรก็ตาม BBKI มองภาพอนาคตของธุรกิจต่างประเทศว่าขยายตัวให้มากกว่านี้ราว 15% ซึ่งหากมองระยะยาว 5 ปี คาดการณ์ตลาดต่างประเทศจะใหญ่กว่านี้ แต่จากสถานการณ์หลายอย่างที่เปลี่ยนไป เราจึงมีการทบทวนแผนและปรับโครงสร้างของสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน เรายังเห็นโอกาสเติบโตในตลาดไทยอีกมาก โดยเฉพาะในบางเซกเมนต์ที่ยังไม่ได้ใช้ศักยภาพของทีมเราอย่างเต็มที่ เราจึงตัดสินใจนำทีมต่างประเทศบางส่วนกลับมาเสริมการเติบโตในตลาดในประเทศก่อน
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่เราทำงานในตลาดต่างประเทศนั้น จริง ๆ แล้ว ไม่ต่างจากในประเทศไทยมากนัก ยังคงเน้นกลุ่มลูกค้าหลัก เช่น สถาบันการเงิน, บริษัทประกันภัย, ภาคการผลิต, ค้าปลีก, พลังงาน ตัวอย่าง เวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่เรามองว่าเติบโตเร็วมาก และ BBKI ยังคงใช้จุดแข็งของเราในไทยเป็นฐานนำเสนอ เช่น ความรู้ ความเข้าใจในระบบธนาคาร ซึ่งตลาดเหล่านี้ในเวียดนามยังมีความซับซ้อนไม่มากเท่ากับไทย
ทั้งนี้ในปีนี้และปีหน้า BBKI เชื่อว่าจะมีการจัดตั้ง Joint Venture ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง เพราะจากประสบการณ์ใน Joint Venture ที่ผ่านมา ทุกโปรเจกต์ของเราได้รับความสำเร็จทั้งหมด ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้หลายองค์กรมั่นใจที่จะร่วมมือกับเรา
นายพชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BBIK กล่าวทิ้งท้ายถึงโอกาสในการรับงาน Virtual Bank ว่าบริษัทมองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเข้าไปรับงานจากทั้ง 3 รายที่ได้รับใบอนุญาตจากภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ในการเข้ารับงานลักษณะนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับ “Conflict of Interest” ดังนั้น งานที่เรารับจะต้องไม่ซ้ำกัน สำหรับมุมมองด้านรายได้จากกลุ่ม Virtual Bank นั้น บริษัทไม่ได้แยกออกจากกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมการเงินโดยรวม ธนาคารเพราะลักษณะของความต้องการและโครงสร้างของงานมีความคล้ายคลึงกัน โดยในปีนี้ ยังคงเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่บริษัทให้ความสำคัญ และคาดว่ากลุ่มนี้จะยังสามารถเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ