“กรมอุทยาน” ดัน “ตัวเงินตัวทอง” สู่สัตว์เศรษฐกิจ เปิดให้เพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์

กรมอุทยานฯ เตรียมขาย “ตัวเงินตัวทอง” เพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ตัวละ 500 บาท หวังดันเป็นสัตว์เศรษฐกิจใหม่ของไทย นักธุรกิจให้ความสนใจจำนวนมาก เนื่องจากลวดลายบนผิวหนังที่มีความสวยงามและเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ


ผู้สื่อข่าวรายงาน กรณีที่คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2565 และได้ลงความเห็น ประกาศราคาพ่อแม่พันธุ์ตัวเหี้ย ไว้ที่ตัวละ 500 บาท ภายหลังจากมีการแก้ไขกฎหมายจากเดิมเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่เพาะพันธุ์ได้  ให้ประชาชนสามารถเพาะเลี้ยงเหี้ยเพื่อเป็นสัตว์เศรษฐกิจได้ ภายใต้ข้อกำหนดของกรมอุทยานฯ  โดยมีพื้นที่ กรงเลี้ยง และการเลี้ยงดูที่เหมาะสมนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการกำหนดอัตราเรียกเก็บค่าใช้จ่ายค่าบริการ หรือค่าตอบแทนและราคาสัตว์ป่า พ.ศ. 2567 และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลทางกฎหมายต่อไปนั้น

ล่าสุดวันนี้​ (23​ ก.ค.​ 68) นายเฉลิม พุ่มไม้ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า เตรียมผลักดันการเพาะเลี้ยงตัวเงินตัวทอง (เหี้ย) เป็นสัตว์เศรษฐกิจ ภายใต้กรอบกฎหมายใหม่ที่อนุญาตให้เพาะพันธุ์สัตว์ป่าคุ้มครองได้ โดยได้มีการกำหนดราคาพ่อแม่พันธุ์ไว้ที่ตัวละ 500 บาท แบ่งเป็นค่าตัวเหี้ย 400 บาท และค่าไมโครชิพ 100 บาท เพื่อควบคุมและป้องกันการลักลอบจับจากธรรมชาติ

โดยมีนักธุรกิจและผู้สนใจจำนวนมากติดต่อสอบถามเข้ามาหลังจากมีการเปิดเผยแนวนโยบายดังกล่าว โดยสามารถยื่นเรื่องขอรับพ่อแม่พันธุ์ได้ที่กลุ่มงานเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า สังกัดสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นสถานที่เลี้ยงดูตัวเหี้ยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ปัจจุบันมีตัวเหี้ยอยู่ราว 400 ตัว และยังดูแลงูเหลือมอีกประมาณ 1,000 ตัว

ทั้งนี้ ผู้ประสงค์จะเพาะเลี้ยงจะต้องผ่านการตรวจสอบความพร้อมจากเจ้าหน้าที่ โดยต้องมีพื้นที่ กรงเลี้ยง และการจัดการเลี้ยงดูที่เหมาะสม ก่อนดำเนินการชำระเงินและรับสัตว์จากสถานีเพาะเลี้ยง ซึ่งตัวเหี้ยทุกตัวจะถูกฝังไมโครชิพเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

นายเฉลิมระบุว่า ความสนใจของภาคธุรกิจในตัวเหี้ยส่วนหนึ่งมาจากลวดลายบนผิวหนังที่มีความสวยงามและเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ ซึ่งบางประเทศมองว่ามีความโดดเด่นกว่าหนังจระเข้ อย่างไรก็ตาม แม้ในภาษาไม่เป็นทางการจะนิยมเรียกว่า “ตัวเงินตัวทอง” แต่ในทางกฎหมายยังต้องใช้คำว่า “เหี้ย” ตามบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง

ในอดีต ตัวเหี้ยที่ถูกจับจากบ้านเรือนประชาชนจะถูกนำมาเลี้ยงไว้จนสิ้นอายุขัย โดยเฉลี่ยมีการแจ้งจับตัวเหี้ยประมาณ 10–20 ตัวต่อสัปดาห์ สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าจึงจัดทำบ่อเลี้ยงขนาด 1 ไร่ จำนวน 2 บ่อ พร้อมแหล่งน้ำและต้นไม้ และให้อาหาร เช่น เนื้อไก่และปลา รวม 40–50 กิโลกรัม สัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยมีภาคเอกชนร่วมสนับสนุน

ทั้งนี้ กรมอุทยานฯ กำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าบริการและราคาสัตว์ป่า พ.ศ. 2567 และเตรียมประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

Back to top button