PTTEP บวก 4% ขานรับกำไร Q2 ดีกว่าคาด-เคาะปันผล 4.10 บาท พ่วงราคาน้ำมันพุ่ง

PTTEP บวกแรง 4% รับงบไตรมาส 2/68 ดีกว่าตลาดคาด-ครึ่งปีแรกโกยกำไร 3 หมื่นล้านบาท เคาะปันผลระหว่างกาล 4.10 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 8 ส.ค.นี้ ขณะเดินหน้าขยายแหล่งก๊าซอ่าวไทยเข้าลงทุนแปลง A-18 ในพื้นที่เจดีเอ พ่วงราคาน้ำมันดิบพุ่ง เสริมจิตวิทยาเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(29ก.ค.68)ราคาหุ้นบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ณ เวลา 10:07 น. อยู่ที่ระดับ 120.50 บาท บวก 4.50 บาท หรือ 3.88% ราคาต่ำสุด 119.00 บาท ราคาสูงสุด 121.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 620.02 ล้านบาท

 

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 และรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้ โดยไตรมาส 2/2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 408 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 13,515 ล้านบาท) ลดลง 38% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสนี้มีรายได้รวม 2,254 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 74,613 ล้านบาท) ลดลง 7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่งวด 6 เดือนของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 895 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 30,067 ล้านบาท) ลดลง 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม 4,431 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 148,531 ล้านบาท)

ทั้งนี้ช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 ปตท.สผ. มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 494,552 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ส่วนใหญ่มาจากโครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติในเดือนมีนาคม 2567 และโครงการมาเลเซีย แปลงเค ที่มีการขายน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการสินภูฮ่อมเมื่อเดือนเมษายน 2568 อย่างไรก็ตาม ราคาขายเฉลี่ยลดลง 5% เป็น 44.85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เนื่องจากราคาขายน้ำมันดิบลดลงตามราคาตลาด และมีต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ที่ 30.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ

โดยบริษัทมีความก้าวหน้าในการขยายธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ชนะการประมูลแปลงสัมปทานเร็กเกนเน่ ทู (Reggane II) ในประเทศแอลจีเรีย ร่วมกับบริษัท Eni Algeria Exploration B.V. และลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิตเรียบร้อย ซึ่งสัญญาจะมีผลเสร็จสมบูรณ์เมื่อมีประกาศอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลแอลจีเรีย ปตท.สผ. ถือสัดส่วนการลงทุน 34% โดยมีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติแล้ว และยังมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการสำรวจเพิ่มเติม อีกทั้งแปลงเร็กเกนเน่ ทู ยังตั้งอยู่ใกล้โครงการแอลจีเรีย ทูอัท (Algeria Touat Project) เป็นโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ ปตท.สผ. ได้ประกาศเข้าลงทุนไปก่อนหน้านี้ จึงสามารถสร้างความต่อเนื่องเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนา และการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติร่วมกันได้

สำหรับภูมิภาคตะวันออกกลาง ปตท.สผ.ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงขยายอายุสัญญาแบ่งปันผลผลิตในโครง การโอมาน แปลง 53 ไปจนถึงปี 2593 นอกจากนี้ ยังได้รับอนุมัติแผนพัฒนาโครงการและสัญญาสัมปทานผลิตปิโตรเลียมของโครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 จากหน่วยงานของรัฐอาบูดาบี ในยูเออี หลังจากที่ประสบความสําเร็จในการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID)

อย่างไรก็ตาม จากผลการดำเนินการดังกล่าว เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2568 ที่ 4.10 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 8 สิงหาคมนี้ โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 สิงหาคม 2568

นอกจากนี้รอบครึ่งแรกของปี 2568 ปตท.สผ.ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ กว่า 30,200 ล้านบาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา การวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐยังได้รับส่วนแบ่งของผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) เป็นรายได้ทางตรงจากการผลิตปิโตรเลียมที่รัฐนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วย

นายมนตรี กล่าวอีกว่า บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีสินทรัพย์รวม 28,624 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 931,894 ล้านบาท) โดยเป็นส่วนของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 3,483 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 113,390 ล้านบาท) มีหนี้สินรวม 12,548 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 408,518 ล้านบาท) โดยเป็นส่วนของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจำนวน 3,883 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 126,408 ล้านบาท) และรายงานส่วนของผู้ถือหุ้นรวมที่ 16,076 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 523,376 ล้านบาท) โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับ 0.24 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายทางการเงินของบริษัท

โดยล่าสุดเมื่อวันที่25 กรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัท พีทีทีอีพี จอยท์ ดีเวลลอปเมนท์ เอสจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement: SPA) กับบริษัท Hess (Bahamas) Limited และ Hess Asia Holdings Inc. (ผู้ขาย) เพื่อเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท Hess International Oil Corporation ซึ่งเป็นผู้ถือสัดส่วน 50% ในแปลง A-18 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJDA) และหุ้น 50% ในบริษัทผู้ดำเนินการของแปลง A-18 ผ่านบริษัทย่อยของ Hess International Oil Corporation ได้แก่ บริษัท Hess Oil Company of Thailand (JDA) Limited และ Hess Oil Company of Thailand Ltd. Co. ด้วยมูลค่าซื้อขาย 450 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่าดังกล่าวจะมีการปรับมูลค่าตามเงื่อนไขในสัญญาฯ ทั้งนี้ผู้ขายคือบริษัท Hess (Bahamas) Limited และ Hess Asia Holdings Inc. ที่มีเชฟรอนเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด จากการควบรวมกิจการระหว่าง Chevron และ Hess

สำหรับแปลง A-18 เป็นโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติและคอนเดทเสท ซึ่งปัจจุบันผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งให้แก่ประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย สัดส่วนที่เท่ากันเพื่อรองรับความต้องการพลังงานให้แก่ทั้งสองประเทศ

ขณะที่บริษัท Hess Oil Company of Thailand (JDA) Limited และบริษัท Hess Oil Companyof Thailand Ltd. Co. ถือสัดส่วนการลงทุนในแปลง A-18 ที่ 49.5% และ 0.5% ตามลำดับ โดยการเข้าซื้อสัดส่วนนี้มีผลสมบูรณ์แล้วในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ทั้งนี้ บริษัท พีทีทีอีพี จอยท์ ดีเวลลอปเมนท์ เอสจี จำกัด จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ด้วยทุนจดทะเบียน 50,000 เหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 เหรียญสหรัฐ โดยมีบริษัท ปตท.สผ. ร่วมพัฒนา จำกัด (บริษัทย่อยของ ปตท.สผ.) ถือหุ้นทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ ปตท.สผ.ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเติบโตของบริษัท ทั้งนี้ พื้นที่ MTJDA ตั้งอยู่บริเวณตอนล่างของอ่าวไทย เป็นหนึ่งในแหล่งทรัพยากรก๊าซธรรมชาติและคอนเดนเสทที่สำคัญของประเทศไทยและมาเลเซีย ประกอบด้วย แปลงผลิต A-18 และ B-17-01โดยปัจจุบัน ปตท.สผ.ถือสัดส่วน 50% ในแปลง B-17-01 ซึ่งสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติส่งเข้าประเทศไทยและมาเลเซียในอัตราประมาณ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ. อีดี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนามในสัญญาการลดสัดส่วน (Farm-out Agreement) เพื่อโอนสัดส่วนการลงทุน 40% ในโครงการจี 1/65 และโครงการจี 3/65 ให้แก่ บริษัท แวลูร่า เอ็นเนอร์ยี่ (ชัยพฤกษ์) จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท Valeura Energy) การลดสัดส่วนดังกล่าวจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อบรรลุเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญาฯ และได้รับอนุมัติจากหน่วยงานภาครัฐของไทย จะส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนในโครงการ เป็นดังนี้ ปตท.สผ. อีดี (ผู้ดำเนินการ) 60% และบริษัท แวลูร่า เอ็นเนอร์ยี่ (ชัยพฤกษ์) จำกัด สัดส่วน 40% โดยการลดสัดส่วนการลงทุนในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบริษัท เพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสม และเป็นการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ สำหรับโครงการที่อยู่ในระยะสำรวจ

ทั้งนี้เดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ปตท.สผ. ครบรอบการดำเนินงาน 40 ปี โดยบริษัทยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานภายใต้เจตนารมณ์ของรัฐในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ปัจจุบัน ปตท.สผ. ได้ขยายการดำเนินงานไปกว่า 50 โครงการ ใน 13 ประเทศทั่วโลก และยังคงเดินหน้าแสวงหาแหล่งพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักในการดำเนินงาน เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานของคนไทยและประเทศไทย ภารกิจของ ปตท.สผ. จึงเปรียบเสมือน “พลังของพลัง” ที่ไม่เพียงมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ แต่ยังเป็นพลังให้ทุกคนก้าวไปสู่เป้าหมายของตนได้สำเร็จ

โดย PTTEP รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2568 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 13,515 ล้านบาท ตัวเลขกำไรดังกล่าวออกมาดีกว่าค่าเฉลี่ยประมาณการของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 13,081 ล้านบาท หรือสูงกว่าคาด 3% จากการรวบรวมประมาณการของโบรกเกอร์ พบว่ามี 8 แห่งที่ประเมินผลกำไรสุทธิใกล้เคียงกับผลจริงมากที่สุด ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คาดการณ์ไว้ที่ 12,065 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรสุทธิ 12,146 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด คาด 12,311 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดกำไรสุทธิ 12,457 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คาด 12,484 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาด 12,597 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด คาดกำไรสุทธิ 12,697 ล้านบาท และ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด คาด 12,746 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้ผลกำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบปีก่อนหน้า แต่การที่ PTTEP สามารถรายงานกำไรสูงกว่าคาดการณ์เฉลี่ยของตลาด สะท้อนถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และความสามารถในการควบคุมการดำเนินงานได้ดีภายใต้สภาวะตลาดที่ท้าทาย

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ว่า ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นแรง อิง Brent +2.34% เทียบวันก่อนหน้าปิดที่ 70.04 เหรียญ/บาร์เรล, น้ำมันดิบ West Texas  +2.38%เทียบวันก่อนหน้าปิดที่ 66.71เหรียญ/บาร์เรล แรงหนุนจาก 1.)สหรัฐ- ยุโรปมีข้อสรุปดีลการค้า ลดภาษีนำเข้ายุโรปเหลือ 15%  2.) สหรัฐ- รัสเซีย หลังทรัมป์ร่นเวลากำหนดเส้นตายคว่ำบาตรรัสเซีย โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นน้ำมัน อาทิ PTT, PTTEP

Back to top button