
KKPS ชี้ DELTA กำไร Q2 วูบเหลือ 4.6 พันล. ต่ำคาด มอง “Underperform” ชูเป้า 50 บ.
KKPS มอง DELTA รายงานกำไรไตรมาส 2/68 ลดลงเหลือ 4.6 พันล้านบาท ต่ำคาด 18% จากยอดขายโตน้อยค่าใช้จ่าย SG&A พุ่ง คงคำแนะนำ “Underperform” ให้ราคาเป้าหมาย 50 บาท ความเสี่ยงยังสูงจากภาษีตอบโต้สหรัฐ
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS ระบุผ่านบทวิเคราะห์คงคำแนะนำ “Underperform” สำหรับหุ้น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA พร้อมให้ราคาเป้าหมายที่ 50.00 บาท ซึ่งบริษัทเน้นย้ำถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 ที่อ่อนแอ โดยพบว่ากำไรก่อนรายการพิเศษต่ำกว่าคาดการณ์ของ KKPS ไว้ถึง 18% และ Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 8%
ขณะที่ การพลาดเป้าหมายดังกล่าว มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของยอดขายที่ต่ำกว่าคาดการณ์ 6% เมื่อเทียบปีต่อปี (เทียบกับคาดการณ์ที่ 15%) และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อรายได้ที่สูงกว่าคาดการณ์ที่ 13.5% (เทียบกับคาดการณ์ที่ 12.3%) โดย KKPS เชื่อว่าค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีถูกบันทึกภายใต้รายการ SG&A
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นลบที่สร้างความประหลาดใจ 2 เรื่อง คือ ค่าใช้จ่ายภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) จำนวน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง DELTA ได้ชำระล่วงหน้าในนามของลูกค้าในสหรัฐ (คาดการณ์ว่าจะได้รับการชดเชยคืน)
รวมทั้งการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการล้มละลายของลูกค้ารถยนต์ในสหรัฐรายหนึ่ง แม้ว่าประเด็นหลังนี้ จะถือเป็นรายการครั้งเดียว (one-off) แต่ KKPS เชื่อว่าภาษีตอบโต้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำ ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงหากประเทศไทย ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐได้ และอาจนำไปสู่ภาษีที่สูงถึง 36%
ขณะที่งบไตรมาส 2 ปี 2568 มีปัจจัยขับเคลื่อนหลักของผลการดำเนินงานมาจากการเติบโตของรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ Power Electronics เพิ่มขึ้น 9%, กลุ่ม Infrastructure เพิ่มขึ้น 33% และกลุ่ม Automation เพิ่มขึ้น 19% แม้ว่ารายได้จากกลุ่ม Mobility จะปรับตัวลดลง 15%
อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 25.00% จาก 26.90% ในไตรมาส 2 ปี 2567 สาเหตุหลักมาจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (USD/THB) ที่อ่อนค่าลง และการกลับรายการสำรองสินค้าคงคลังในไตรมาส 2 ปี 2567
ด้านอัตราส่วน SG&A ต่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 13.5% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D) ถึง 42% เมื่อเทียบปีต่อปี ขณะที่ อัตราภาษีที่แท้จริงก็เพิ่มขึ้นเป็น 14.2% เนื่องจากผลกระทบของภาษี Global Minimum Tax (GMT)
ด้าน ซิตี้กรุ๊ป (Citi) ยังคงคำแนะนำ “ขาย” สำหรับ DELTA โดยปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 90 บาท จากเดิม 72 บาท บริษัทระบุว่า กำไรไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท พลาดเป้า Consensus ไป 15% สาเหตุหลัก มาจากค่าใช้จ่ายพิเศษสามประการ ได้แก่ อากรขาออก, การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญและค่าใช้จ่ายในการระงับข้อพิพาท
จากปัจจัยดังกล่าว Citi คาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายอากรขาออก จะยังคงมีอยู่และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอตัวของโมเมนตัมกำไร
นอกจากนี้ ซิตี้กรุ๊ป (Citi) ยังให้เหตุผลขายหุ้น เนื่องมาจากราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ในระดับที่ “สูงเกินไป” สะท้อนจากการซื้อขายที่ระดับราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ล่วงหน้า ปี 2569 ที่ 76 เท่า ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของกำไรสุทธิ (CAGR) ที่ประมาณ 9% ในช่วงปี 2568–2570 ซึ่ง Citi มองว่าเป็นระดับการเติบโตที่ไม่น่าตื่นเต้น แม้จะมีแนวโน้มว่ารายได้ในช่วงครึ่งหลังของปีจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากความต้องการเซิร์ฟเวอร์ AI ที่เพิ่มขึ้น แต่ Citi ประเมินว่าผลเชิงบวกดังกล่าวจะถูกหักล้างด้วยต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ปรับตัวสูงขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ DBS Vickers ยังคงมุมมอง “เต็มมูลค่า” (Fully Valued) สำหรับหุ้น DELTA พร้อมปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 88 บาท อ้างอิงจากอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่ระดับ 54 เท่า ของประมาณการกำไรปี 2568
ทั้งนี้ DELTA เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2568 ลดลง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับลดลง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีตามเกณฑ์ของ OECD แม้ว่ากำไรจะลดลง แต่ DBS Vickers ตั้งข้อสังเกตว่ารายได้สูงสุดพุ่งขึ้น 18% เมื่อเทียบปีต่อปีในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่แข็งแกร่งในกลุ่ม Power Electronics และ ICT Infrastructure ด้วยเหตุนี้ DBS Vickers จึงได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้น 8–13% สำหรับปี 2568–2569 เพื่อสะท้อนการปรับแนวโน้มรายได้ที่เพิ่มขึ้นในระดับสูง