“กรภัทร” ชี้ SET ไซด์เวย์ รอผลเจรจาสหรัฐ ชูกลุ่มรพ.-ค้าปลีก-พลังงาน รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า

“กรภัทร วรเชษฐ์” มอง SET ไซด์เวย์ รอผลเจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ชี้หากอัตราภาษี 25% เป็นฐานแข่งขันได้ พร้อมหนุนตลาดไปต่อในกรอบ 1,295-1,330 จุด ด้านกระแสเงินทุนต่างชาติยังเข้ามาต่อเนื่อง พร้อมชูกลุ่มโรงพยาบาล-ค้าปลีกและพลังงานหุ้นเด่นรับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ว่า ภาพตลาดหุ้นไทยยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัว เนื่องจากนักลงทุนรอความชัดเจนเกี่ยวกับผลสรุปการเจรจาภาษีไทย-สหรัฐฯ หลัง นายโฮเวิร์ด ลุตนิก (Howard Lutnick) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกายืนยันต่อสื่อมวลชนต่างประเทศว่าได้ข้อสรุปข้อตกลงการค้ากับไทยเรียบร้อยแล้ว แต่ยังต้องติดตามระดับอัตราภาษีที่จะใช้จริงว่ามีความสามารถแข่งขันได้หรือไม่

โดยประเมินว่าอย่างน้อยที่สุดไทยควรได้รับอัตราภาษีตอบโต้ที่ 25% ซึ่งเป็น Base Case ที่คาดหวัง หากไทยถูกเรียกเก็บภาษี 25% อัตราภาษีที่แท้จริง (effective tariff rate) ของไทยจะลดลงมาอยู่ที่ 21% เนื่องจากมีสินค้าไทยหลายรายการที่ได้รับภาษีในระดับต่ำหรือไม่ได้ถูกเก็บภาษีจากสหรัฐเลย เพราะสหรัฐมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องกับซัพพลายเชนของสหรัฐเอง และในระดับนี้ทำให้ไทยสามารถแข่งขันกับเวียดนามได้ ซึ่งเวียดนามมี effective tariff rate อยู่ที่ 18.4% (ไม่รวมสวมสิทธิ์) ส่วนอินโดนีเซียมี effective tariff rate อยู่ที่ 26% เนื่องจากภาษีพลังงานบางส่วนของพวกเขาโดนตั้งกำแพงสูงกว่า

ดังนั้นทิศทางของตลาดหุ้นไทย (SET) หากผลสรุปออกมาที่อัตราภาษี 25% ตลาดหุ้นไทยจะสามารถไปต่อได้ แต่อาจมี “Fade Effect” เล็กน้อย คือพักฐานในกรอบ 1,230-1,200 ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นตัวต่อ แต่ถ้าได้อัตราภาษีที่ 20% หรือต่ำกว่า และไม่ได้มีเงื่อนไขข้อตกลงเพิ่มเติมมากนัก จะยิ่งเป็นภาพบวกทำให้ตลาดอาจมีรอบของการ Overshoot หรือปรับตัวขึ้นแรงกว่าปกติ SET มีโอกาสจะไปต่อในกรอบ 1,295 ถึง 1,330 จุด

ด้านภาพรวมต่างประเทศ เฟดยังคงอัตราดอกเบี้ยและมีเสียงแตกของกรรมการถึง 2 ท่าน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี บ่งชี้ว่ามีความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับจังหวะการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

ส่วนกระแสเงินทุน (Fund Flow)ในตลาดเกิดใหม่ของเอเชียยังเป็นบวก โดยเฉพาะตลาดแรกๆ ที่เริ่มมีสัญญาณที่ดี มองว่าสหรัฐฯมีการเติบโตที่ช้าลงและต้องการกระจายการลงทุน จึงเริ่มเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย เนื่องจากราคาหุ้นที่ถูกทำให้มีความน่าสนใจและสามารถวางตำแหน่งการลงทุนได้เปรียบ

โดยตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนกรกฎาคมเริ่มมีภาพที่ดีขึ้น โดยมีนักลงทุนต่างชาติ กลับมาสะสมสถานะจำนวนมาก ดังนั้นการที่ต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทย จะไม่ถูกลดน้ำหนักจาก MSCI และอาจมีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักเล็กน้อยด้วยซ้ำ ซึ่งการไม่ถูกลดน้ำหนักก็ถือเป็นสิ่งที่ดีมากแล้ว ก่อนหน้านี้เคยประเมินว่าอาจจะถูกลดน้ำหนักในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม

โดยสหรัฐฯกำลังเพ่งเล็งกลุ่มประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคลาตินอเมริกาและบางส่วนของเอเชีย เนื่องจาก บราซิลโดนภาษี 50%, เม็กซิโกมีข้อพิพาทและอัตราภาษีเกิน 25%, จีนโดน 30% และอาจมีภาษี Top-up เพิ่มเติม, รัสเซียอยู่ภายใต้แรงกดดัน, อินเดียมีความเสี่ยงที่จะโดนภาษีระดับ 25% ซึ่งประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นตะกร้าของ EM (ตลาดเกิดใหม่) ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาใน EM เอเชียและอาเซียนที่ Underperform มามาก

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนต มองว่ากลุ่มโรงพยาบาลเริ่มน่าสนใจ โดยเฉพาะ BCH, BDMS, BH และกลุ่มค้าปลีก CPALL รวมถึงหุ้นพลังงานและปิโตรเคมีอย่าง PTT, PTTGC และ IVL ที่ถือเป็น Value Play และได้แรงหนุนจาก Fund Flow ต่างชาติ

Back to top button