“เจพีมอร์แกน” ชี้ SET สิ้นปีทดสอบ 1,350 จุด แนะเก็บ 10 หุ้นท็อปพิก ชู GULF-KTB-MINT

เจพีมอร์แกน มอง SET Index ปรับตัวแรงสุดรอบ 5 ปี พบเดือนก.ค.ให้ผลตอบแทนกว่า 14% รับแรงหนุนเงินทุนต่างชาติไหลกลับ, ลดดอกเบี้ยนโยบาย และข้อตกลงการค้า พร้อมคงเป้าสิ้นปีแตะ 1,200 จุด มองกรณีดีที่สุดมีลุ้นแตะ 1,350 จุด พร้อมแนะเก็บหุ้น Top Pick ได้แก่ TRUE, CPALL, BH, BDMS, MINT, GULF, KBANK, KTB, BLA และ TLI


ผู้สื่อข่าวรายงาน เจพีมอร์แกน ระบุผ่านบิวิเคราะห์ถึง SET Index ปรับตัวขึ้นแรงที่สุดตั้งแต่ปี 2563 โดยมีผลตอบแทนมากกว่า 14% ในเดือนกรกฎาคม 2568 จากปัจจัยสนับสนุน คือ การไหลกลับของเงินทุนต่างชาติ, การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าสหรัฐและความต้องการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นตัวกระตุ้นการปรับตัวขึ้นของตลาด

ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมานั้น SET ได้ทะลุกรอบเป้าหมายกรณีฐาน (Base Case Scenario) อยู่ที่ 1,200 จุด ไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีมุมมองว่าตลาดได้ Price in ปัจจัยบวกไปแล้วเช่นกัน

พร้อมทั้ง ประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากผลกระทบในภาคการท่องเที่ยว อุปสงค์ในประเทศที่ยังคงซบเซา รวมไปถึงแรงหนุนจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าที่แผ่วลง ส่วนเงินทุนไหลเข้าอาจเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดในระยะสั้น แต่ยังขาดปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่จะส่งดัชนีให้ไปต่อ

โดย เจพีมอร์แกน คงเป้าหมายดัชนี SET Index สิ้นปีไว้ที่ 1,200 จุด โดยให้กรอบเป้าหมายในกรณีที่แย่ที่สุดที่ 900 จุด ดีที่สุดที่ 1,350 จุด สำหรับหุ้นกลุ่ม Top pick ที่แนะนำลงทุน คือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT

บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA และ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เป็นต้น

ขณะที่หากมองไปยังปัจจัยที่ต้องจับตามอง มีดังนี้ 1.) ความชัดเจนของข้อตกลงทางการค้า ซึ่งสหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีตอบโต้ 19% สำหรับสินค้าไทย ต่ำกว่าที่เคยประกาศไว้ในตอนแรก 36% อัตราใหม่อยู่ในระดับเดียวกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ยกตัวอย่าง เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าประเทศจีนที่ 55% มาก ปัจจัยดังกล่าวช่วยคลายความกังวลของนักลงทุน

2.) ผลกระทบจากการท่องเที่ยว ความต้องการภายในประเทศที่อ่อน และการกลับตัวของการส่งออก อาจจำกัดการขึ้นต่อไป โดยจำนวนผู้มาเที่ยวในครึ่งแรกของปี 2568 ลดลง 4.70% เมื่อเทียบปีต่อปี ต่ำกว่าคาดการณ์ อีกทั้ง เหตุการณ์ชายแดนกับกัมพูชาและเหตุยิงกันจะกดดันความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทยรายงานว่าการยกเลิกห้องพักเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2568 จากมุมมองภายในประเทศ ยังคงส่งสัญญาณถึงความเสี่ยงที่รออยู่ เช่น การใช้บัตรเครดิต ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และรายได้เกษตรกร

ขณะที่ภาคการส่งออกล่วงหน้าและการปรับลดภาษีชั่วคราวช่วยหนุนการเติบโตของไทยในปี 2568 แต่มองว่าผลดีมากที่สุดได้สะท้อนแล้ว และคาดการณ์ว่าการเติบโต GDP ในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2568 จะลดลงเหลือ 0.5% ต่อไตรมาส จาก 2–2.8% ในไตรมาส 1–2 ปี 2568

3.) ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/25 ผสมกัน ซึ่งประมาณ 30% ของหุ้นไทยได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/25 ส่วนใหญ่เป็นธนาคาร อาทิ SCB, KTB, BBL และกลุ่ม Healthcare คือ BH ในทางกลับกัน ทั้งนี้กลุ่ม Consumer Discretionary อ่อนกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะชื่อที่เกี่ยวกับปรับปรุงบ้าน อาทิ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO และ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL

ส่วนกลุ่มอื่นๆ อยู่ในกรอบที่คาดกาณณ์ไว้ อาทิ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC นอกจากนี้ ตัวเลขคาดการณ์กำไรยังคงทรงตัวในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบระหว่างเดือนจากการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรในกลุ่มวัสดุเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบระหว่างเดือน, พลังงาน 1.2%, สินค้าอุปโภคบริโภค 1.1% และโทรคมนาคม 1%

Back to top button