TU อัดงบลงทุน 4 พันล้าน อัพกำไรขั้นต้นปีนี้แตะ 19.5% รับแผนคุมต้นทุนดี

TU กางแผนปี 68 ปรับงบลงทุนเพิ่มเป็น 3.5-4 พันล้านบาท เดินหน้าใช้โครงการจำเป็น พร้อมได้ปรับเพิ่มกำไรขั้นต้นเป็น 18.5-19.5% รับแผนคุมต้นทุนดี หนุนเติบโตระยะยาว


นางภิญญดา แสงศักดาหาญ หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 21 ส.ค.68 ว่า ไตรมาส 2/2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,272.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.43% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,218.61 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป เนื่องด้วยสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลง

ทั้งนี้ บริษัทได้ทบทวนประมาณการผลการดำเนินงานปี 2568 โดยปรับลดเป้ารายได้ทั้งปีจากเดิมคาดเติบโต 1-3% มาเป็นลดลง 1-2% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและมาตรการเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff)

ในช่วงครึ่งปีแรก รายได้ลดลงราว 7% จากผลกระทบค่าเงิน ขณะที่ในครึ่งปีหลังบริษัทฯ ได้รวมสมมติฐานผลกระทบภาษี 19% เข้ามาประเมิน อย่างไรก็ดี อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ได้ปรับเพิ่มเป็น 18.5-19.5% จากเดิม 18-19% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบลดลงและมาตรการประหยัดต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A to Sales) คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 13.5-14% โดยมีปัจจัยหนุนจากค่าใช้จ่ายด้าน Transformation และค่าขนส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ภายใต้ภาษีใหม่ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจแบรนด์ของบริษัทมี Margin สูงกว่า OEM ซึ่งช่วยเสริมความสามารถในการทำกำไร

สำหรับการลงทุน (CAPEX) บริษัทปรับเพิ่มขึ้นราว 500 ล้านบาท มาอยู่ที่ 3,500-4,000 ล้านบาท จากเดิม 3,000-3,500 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการบางส่วนที่ไม่สามารถเลื่อนออกไปได้เพื่อรองรับโอกาสการเติบโต ขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยคาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกที่ปรับลดลง

สำหรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลยังคงยึดอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ โดยที่ผ่านมาบริษัทมีประวัติการจ่ายเกินกว่า 50% ต่อเนื่องตลอด 10 ปี

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศความประสงค์เข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมใน TU จากปัจจุบัน 6.19% เป็น 20% เพื่อยกระดับสถานะการลงทุน และสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น

โดยการเข้าลงทุนครั้งนี้เป็นข้อเสนอจาก มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น โดยตรง สะท้อนการปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างพันธมิตรเชิงลึกกับ TU และเพิ่ม Synergy ในธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะการต่อยอดความร่วมมือในธุรกิจแซลมอน กุ้ง อาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารสัตว์น้ำ ผ่านบริษัทในเครือ

แต่โครงสร้างการบริหารยังคงอยู่ภายใต้การนำของผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมคือกลุ่มครอบครัว โดยบริษัทฯ ยืนยันว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างการบริหารหลัก

Back to top button