
“อนุสรณ์” เตือน AI–ดิจิทัลเปลี่ยนแรงงาน เกษียณ 45 ปีอาจมากขึ้น–แนะรัฐรับมือ
รศ.ดร.อนุสรณ์ ชี้ AI และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอาจทำให้องค์กรปรับเกษียณ 45 ปีมากขึ้น เสี่ยงเพิ่มช่องว่างแรงงาน–รายได้ แนะรัฐวางมาตรการรับมือ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 ส.ค.68) รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะ Generative AI และ Artificial General Intelligence (AGI) จะก่อให้เกิดการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในตลาดแรงงานหลายอุตสาหกรรม
รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุว่า “เราอาจเห็นแนวโน้มของการเกษียณอายุ 45 ปีมากขึ้นในบางภาคธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อลดต้นทุน ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและผลิตภาพ ปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดรับกับเทคโนโลยี แรงงานที่มีอายุเกิน 45–50 ปีที่อาจจะปรับทักษะใหม่ไม่ได้หรือใช้การลงทุนมากเกินไป องค์กรจำนวนไม่น้อยก็จะเอาแรงงานวัยกลางคนเหล่านี้ออก ทำให้องค์กรกระชับขึ้น และเปิดให้คนรุ่นใหม่อายุน้อยกว่า ฐานเงินเดือนต่ำกว่า มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีได้ดีกว่าเข้ามาแทนที่ ภาวะดังกล่าวอาจทำให้องค์กรอยู่รอดได้ แต่อาจไม่ยั่งยืน เพราะหากระบบเศรษฐกิจและสังคมได้รับผลกระทบ องค์กรก็จะได้รับผลกระทบในที่สุด”
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเห็นชัดในธุรกิจการเงิน การบริการ สื่อ รวมถึงตำแหน่งผู้บริหารระดับกลาง ซึ่งจะถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติและ AI มากขึ้น โดยคาดว่าครึ่งหนึ่งของงานทั้งหมดในตลาดแรงงานอาจถูกแทนที่ภายในปี พ.ศ. 2588 (ค.ศ. 2045) ขณะที่ Generative AI และ Quantum Computing จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงาน 0.5–3.4% ต่อปี และสามารถทำงานได้เกินขีดจำกัดของสมองมนุษย์
“ยังไม่แก่แล้วไม่มีงานทำ ไม่มีเงินออม ยังมีภาระผ่อนบ้าน มีภาระดูแลลูกและพ่อแม่” รศ.ดร.อนุสรณ์ เตือนว่า ปัญหานี้อาจกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ของมนุษย์เงินเดือนวัยกลางคนในบางธุรกิจอุตสาหกรรม รัฐบาลและสังคมไทยต้องมีมาตรการและนโยบายในการรับมือ เพราะจะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตได้
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ภาคการผลิตและเกษตรบางส่วนอาจต้องยืดอายุเกษียณ เนื่องจากการขาดแคลนแรงงาน โดยแรงงานว่างงานไม่สามารถทดแทนได้เพราะขาดทักษะที่เหมาะสม ทำให้เกิดความไม่สมดุลในตลาดแรงงาน
นอกจากนี้ รศ.ดร.อนุสรณ์ ชี้ว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจทำให้ช่องว่างระหว่างทุนกับแรงงานกว้างขึ้น ระหว่างประเทศเจ้าของเทคโนโลยีกับประเทศผู้ใช้ และระหว่างแรงงานทักษะสูงกับทักษะต่ำ โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีมีแนวโน้มผูกขาดตลาด ทำให้ธุรกิจขนาดกลางและเล็กแข่งขันยาก ขณะที่แรงงานทั่วไปอาจเผชิญค่าจ้างที่หยุดนิ่ง และงานแพลตฟอร์ม เช่น Grab หรือ Uber แม้มีความยืดหยุ่น แต่ขาดสวัสดิการและความมั่นคง
“ช่องว่างทางดิจิทัล” (Digital Divide) ก็เป็นอีกประเด็นสำคัญ รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุว่า ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต และทักษะทำให้เกิดความแตกต่างด้านโอกาสทางอาชีพ การศึกษา และรายได้ ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฟินแลนด์ ลดช่องว่างนี้ได้มากกว่าประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงไทย ช่องว่างนี้ยังมีหลายมิติ ทั้งระหว่างประเทศ เมืองกับชนบท เพศ และวัย
ในมุมมองเชิงนโยบาย รศ.ดร.อนุสรณ์ เสนอว่า รัฐบาลควรพิจารณามาตรการใหม่ เช่น การเก็บภาษีหุ่นยนต์ การจัดตั้ง National AI Office และการศึกษาเรื่องรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income) เพื่อรองรับแรงงานส่วนเกิน รวมถึงการสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการคุ้มครองทางสังคมแบบครอบคลุม เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลช่วยลดความเหลื่อมล้ำและหนุนการเติบโตระยะยาว
รศ.ดร.อนุสรณ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า Generative AI และ AGI จะเป็นตัวเร่งโลกทุนนิยมให้เข้าสู่ Hyper Capitalism มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ แต่ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น อีกทั้งจะนำไปสู่อุปทานส่วนเกินของงานสร้างสรรค์ ทำให้ความต้องการแรงงานมนุษย์ด้านนี้ลดลงชัดเจนในระยะ 5–10 ปี ขณะที่กิจการการผลิตหรือบริการที่อาศัยแรงงานมนุษย์จะมีลักษณะคุณค่าเฉพาะ (Gain Niche Value) ผลิตภาพสูงขึ้น ราคาสินค้าจำเป็นลดลง พลวัตทางเศรษฐกิจเปลี่ยนสู่ Hyper Capitalism พร้อมความท้าทายใหม่ๆ
“ข้อถกเถียงเรื่องภาษีหุ่นยนต์ และ AI เกิดขึ้นแล้วในยุโรป สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น บางประเทศเก็บภาษีเพื่อนำมาสำหรับสวัสดิการแรงงาน บางประเทศไม่เก็บเพราะเห็นว่าอาจลดแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยี หลายประเทศเริ่มคิดถึงระบบ Universal Basic Income เพื่อให้แรงงานส่วนเกินสามารถดำรงชีพตามมาตรฐานขั้นต่ำได้” รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว พร้อมเสริมว่า การพัฒนา AI ยังเปลี่ยนระบบคุณค่าของสังคม มนุษย์ยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตตามความปรารถนามากกว่าความมั่งคั่งทางวัตถุ
รศ.ดร.อนุสรณ์ ย้ำว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต การคุ้มครองทางสังคมแบบถ้วนหน้า และสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเสมอภาค หากมีมาตรการและนโยบายในการเปลี่ยนผ่านเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างเหมาะสม จะทำให้ GDP ไทยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นและเพิ่มศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว เมื่อการดำเนินนโยบายครอบคลุมและเน้นความเสมอภาค การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลสามารถเป็นพลังลดความเหลื่อมล้ำและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน