จับตา 5 หุ้น “โรงแรม” ยอดจองล้น! รับอัดนโยบาย “Big Impact Act Fast” –ไฮซีซั่นท่องเที่ยว

รัฐเดินหน้านโยบาย “Big Impact Act Fast” กระตุ้นการท่องเที่ยวไตรมาส 4 คาดดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้าประเทศ ประกอบกับบรรยากาศการท่องเที่ยวเข้าช่วงไฮซีซั่น จับตากลุ่มโรงแรมคึก อาทิ ERW, CENTEL, SHR, DUSIT และ AWC รับอานิสงส์เต็มจากยอดจองห้องพัก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับคณะผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ว่า ได้มอบนโยบาย “Big Impact Act Fast” เพื่อเร่งผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้ยังคงเป็นเครื่องจักรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

โดย ททท. ได้มุ่งเน้นกลุ่มตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพสูง 7 แห่ง ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย และกลุ่มตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทยให้ได้ 2-3 ล้านคนภายใน 4 เดือนข้างหน้า ซึ่งตรงกับช่วงไตรมาส 4 ที่ถือเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ

นอกจากนี้ ยังได้เน้นเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและคุณภาพการบริการ ผ่านมาตรการ “Travel Safe, Worry Free” ด้วยการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุ 1155 ตลอด 24 ชั่วโมง และพัฒนาแอปพลิเคชัน Tourist Police รองรับ 8 ภาษา รวมถึงเดินหน้าโครงการ “Smart Safety, Smart Tourism” ที่นำเทคโนโลยี AI Detect ตรวจสอบใบหน้าและเชื่อมโยงข้อมูลหมายจับเพื่อป้องกันอาชญากรรม พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์พื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยทั่วประเทศ

กระทรวงยังได้เดินหน้ามาตรการ “Thailand Together” เพื่อบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เตรียมความพร้อมรองรับการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว โดยมอบหมายให้ ททท. ประชาสัมพันธ์การจัดงานเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศและดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ

ทั้งนี้ แม้ว่าการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในตลาดโลกจะทวีความเข้มข้นมากขึ้น แต่รัฐบาลเชื่อมั่นว่าการสร้างจุดแข็งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และการมอบประสบการณ์ที่แตกต่าง จะทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

สำหรับภาคธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงคือกลุ่มโรงแรม ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 โดยคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวจีนที่ทยอยกลับเข้ามา โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR, บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT และบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มโรงแรมที่เกี่ยวข้องมีแนวโน้มได้รับประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาครัฐในช่วงปลายปี 2568 ประกอบกับเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกต่ออัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR)

นอกจากนี้ ยังมีการประเมินจากนักวิเคราะห์ว่า แนวโน้มผลประกอบการของหุ้นกลุ่มโรงแรมยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี จากปัจจัยสนับสนุนทั้งด้านการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การขยายตัวของตลาดในประเทศ และการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถสรุปการประเมินได้ดังนี้

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ประเมินว่า บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการขยายโรงแรมแบรนด์ Hop Inn ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นปัจจัยหนุน Upside ให้กับบริษัทในระยะยาว ทั้งนี้ กลยุทธ์ดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายการขยายโรงแรม Hop Inn ให้ครบ 150 แห่งภายในปี 2573

ปัจจุบัน ERW มีโรงแรม Hop Inn รวม 81 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศไทย 67 แห่ง ฟิลิปปินส์ 10 แห่ง และญี่ปุ่น 4 แห่ง ซึ่งสร้างรายได้ราว 30% ของรายได้รวม ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราการเติบโตของ Hop Inn ที่ 19% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จากการเปิดเพิ่มเฉลี่ยปีละ 10 แห่ง

นักวิเคราะห์ระบุว่า แม้บริษัทยังไม่เปิดเผยแผนการขยายโรงแรมในประเทศเกาหลีใต้ แต่ตลาดดังกล่าวถือว่ามีศักยภาพสูง โดยจำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติ 4 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 5.58 ล้านคน และรัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งเป้านักท่องเที่ยวปี 2568 ที่ 20 ล้านคน เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และ 30 ล้านคนภายในปี 2570 ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อธุรกิจโรงแรมในอนาคต

นอกจากนี้ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่า แนวโน้มผลประกอบการ ERW ได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้ว และเริ่มเข้าสู่ช่วงฟื้นตัว โดยคาดว่าในไตรมาส 3/2568 ผลประกอบการจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แม้ยังอ่อนตัวอยู่ แต่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โดยล่าสุด RevPAR เดือนตุลาคมกลับมาเป็นบวกเล็กน้อย หลังจากที่เคยติดลบสองหลักในช่วงต้นไตรมาส สะท้อนการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น นักวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น ERW ที่ราคาเป้าหมาย 3.20 บาท มองว่าบริษัทมีศักยภาพเติบโตจากการขยายตัวของ Hop Inn และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาค

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ระบุในบทวิเคราะห์ต่อ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ว่ามีแนวโน้มสดใสในไตรมาส 3/2568 โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหาร โดยในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม RevPAR โรงแรมในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น 19% กรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 15% และมัลดีฟส์พุ่ง 42% ขณะที่ธุรกิจอาหาร SSS ขยายตัว 3% หลังจากติดลบในไตรมาสก่อน

อีกทั้งฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรไตรมาสที่ 3/2568 จะเติบโตได้ทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน หนุนให้กำไรปกติปี 2568 คาดแตะ 1.67 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% และปี 2569 โตต่อเนื่อง 12.2% จาก RevPAR ที่สูงขึ้นหลังโรงแรมหลายแห่งรีโนเวทเสร็จ พร้อมปรับราคาเป้าหมายสิ้นปี 2569 ขึ้นเป็น 37.50 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ”

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินว่า บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2568 เติบโตทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และงวดเดียวกันของปีก่อน จากอานิสงส์การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย และการกลับมาเปิดให้บริการของโรงแรมในสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะ Leicester และ Edinburgh ที่เพิ่งรีโนเวท ซึ่งมี RevPAR เพิ่มขึ้น 10% และอัตราการเข้าพักสูงขึ้นเป็น 77%

เนื่องจากตลอดช่วงมกราคม-สิงหาคม RevPAR ของ SHR ขยายตัว 4% ใกล้เป้าหมายทั้งปีที่ 5–10% และสูงกว่าประมาณการเชิงอนุรักษ์ที่คาดเพิ่มเพียง 2% นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาส 3/2568 บริษัทจะพลิกมีกำไรสุทธิ จากที่เคยขาดทุน 20 ล้านบาทในปีก่อน และยังคงประมาณการกำไรทั้งปี 2568 ที่ 327 ล้านบาท เติบโต 144% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ด้านหุ้น SHR ปัจจุบันซื้อขายที่ PER 19 เท่า และ PBV 0.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตและกลุ่มอุตสาหกรรม ขณะที่ปัจจัยลบส่วนใหญ่สะท้อนในราคาแล้ว นักวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 2.00 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PST ระบุในบทวิเคราะห์ว่าทาง บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT  มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนในครึ่งหลังปี 2568 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569 โดยได้รับอานิสงส์จากบรรยากาศการเมืองที่คลี่คลาย หนุนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวจากภาครัฐ เช่น โครงการ “ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” โดยสานต่อจากโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง”

ขณะเดียวกัน ช่วงไตรมาส 4/2568 เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ซึ่งจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัท อีกทั้ง DUSIT ยังเตรียมทยอยรับรู้รายได้จากโครงการ Dusit Central Park ที่มีการโอนในปี 2569 คาดแตะ 80% ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้บริษัทกลับมาฟื้นตัว และช่วยลดภาระหนี้กว่า 46,000 ล้านบาทได้

นักวิเคราะห์ยังประเมินว่า Valuation ของ DUSIT น่าสนใจ โดยราคาพื้นฐานเฉลี่ยตาม IAA consensus อยู่ที่ 13.10 บาท สะท้อนการได้อานิสงส์จากทั้งธุรกิจโรงแรมและโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่

บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LHS ระบุในบทวิเคราะห์ว่าทาง บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC มีแนวโน้มกำไรปกติปี 2568 เติบโตต่อเนื่องราว 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมจะทรงตัวจากผลกระทบเหตุแผ่นดินไหวที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง แต่ยังได้รับการชดเชยจากรายได้ค่าเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้น

สำหรับครึ่งหลังปี 2568 คาดว่ากำไรปกติของ AWC จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก จากปัจจัยฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ในช่วงปลายปี และการเพิ่มขึ้นของจำนวนห้องพักกว่า 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมาจากการเปิดดำเนินงานโรงแรมใหม่ในครึ่งแรกปีนี้

โดยนักวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น AWC โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 2.90 บาท โดยมีแนวรับที่ 2.22-2.28 บาท และแนวต้านที่ 2.40-2.48 บาท

Back to top button