
“ยูโอบี เคย์เฮียน” ชี้รัฐดัน “โครงการ CCS” นโยบายพลังงานใหม่ หนุน PTTEP–โรงไฟฟ้าเด่น
บล.ยูโอบี เคย์เฮียน มองบวกนโยบายพลังงาน "รมว.พลังงาน" เดินหน้าโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) หนึ่งในยุทธศาสตร์หลักสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2050 เร็วกว่ากำหนดเดิม 15 ปี หนุนไทยก้าวสู่ผู้นำด้านพลังงานสะอาด พร้อมปลดล็อกการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ หนุน PTTEP และกลุ่มโรงไฟฟ้ารับอานิสงส์เต็ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประกาศนโยบายหลักของรัฐบาล โดยหนึ่งในนั้นคือ การผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำผ่านการตั้งเป้าให้ไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net zero) ภายในปี 2050 จากเดิมที่จะบรรลุในปี 2065 หรือเร็วขึ้น 15 ปี
โดยนโยบายกระทรวงพลังงานจะเร่งดำเนินการก็คือ โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยลดคาร์บอนได้จำนวนมาก เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจใช้พลังงานสะอาดแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ แต่โครงการ CCS ตอบโจทย์ในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอน
สำหรับปัจจุบัน โครงการ CCS ได้รับการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภา และถูกบรรจุอยู่ใน แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าแห่งชาติ (PDP 2025) ฉบับใหม่ด้วย ซึ่งจะเป็นกรอบเชิงนโยบายสำคัญในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี CCS ในภาคพลังงานและอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ทั้งยังสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้
บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยบทวิเคราะห์ว่า “โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน” (Carbon Capture and Storage: CCS) ที่รัฐให้การสนับสนุนโครงการ CCS จะช่วย “ปลดล็อกข้อจำกัด”ของโครงการ CCS ให้สามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะประเด็นการได้รับ incentives จากภาครัฐ
โดยไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ CCS โดยก่อนหน้านี้กระทรวงพลังงานและประเทศญี่ปุ่นนําเรือเข้ามาสำรวจพื้นที่นอกชายฝั่งใต้ทะเล พบว่ามีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน 7,000 ล้านตันต่อปี
ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวมองเป็น sentiment เชิงบวกต่อ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ในการเดินหน้าโครงการ CCS ให้สามารถไปสู่ commercial phase ในฐานะผู้พัฒนาโครงการนำร่องหลักของประเทศ รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีแผนปรับโครงสร้างการผลิตให้สอดคล้องกับแนวทางพลังงานสะอาดในอนาคต
สำหรับโครงการ CCS ของไทยที่อยู่ระหว่างการดำเนินการประกอบด้วย 3 โครงการหลัก ได้แก่
1.Arthit Field ของ PTTEP เป็นโครงการ CCS แห่งแรกของประเทศไทย โดย PTTEP มีแผนประกาศการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ในปี 2025 มีกำลังการกักเก็บคาร์บอนราว 1 ล้านตันต่อปี
2.Eastern CCS Hub (จังหวัดระยอง–ชลบุรี) ครอบคลุมโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งและโครงสร้างพื้นฐานร่วม ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและออกแบบเบื้องต้น
3.โครงการภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ได้แก่ ความร่วมมือระหว่าง PTTEP กับ INPEX(ญี่ปุ่น) และ JGC Holdings จากญี่ปุ่น เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ CCS ในประเทศไทย และ2.ความร่วมมือระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และ Shell เพื่อศึกษาการใช้เทคโนโลยีดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
ทั้งนี้ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ประเมินว่า ความคืบหน้าดังกล่าวเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ PTTEP ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในโครงการนำร่องและการขยายผลเชิงพาณิชย์ในอนาคต ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้าจะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐบาลเตรียมผลักดันในแผน PDP 2025