
MEDEZE ปัดหมุด พ.ย.นี้ เปิดตัว “ATMPs Sandbox” 2 แห่ง นำร่องวิจัยข้อเข่า-ผิวหน้าเสื่อม
MEDEZE อัพเดตความคืบหน้าโครงการ ATMPs Sandbox ศูนย์การแพทย์บางรัก-โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เตรียมเปิดตัวเดือน พ.ย.นี้ นำร่องวิจัยโรคข้อเข่าเสื่อม-โรคผิวหน้าเสื่อมตามวัย คาดวิจัยเสร็จ พร้อมขึ้นทะเบียนภายในปี 69 ส่วนแผนการก่อสร้างโรงงานผลิตยา คาดว่าจะซื้อที่ดินภายในปีนี้ และเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เร็วสุดในปี 70
นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่าถึงความคืบหน้าการลงทุน โครงการพื้นที่ทดลองพัฒนาผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง หรือ Advanced Therapy Medicinal Products Sandbox (ATMPs Sandbox) จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 1. ศูนย์การแพทย์บางรัก และ 2. ศูนย์โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
โดยศูนย์การแพทย์บางรัก ปัจจุบันได้ดำเนินการลงทุนเสร็จสิ้นแล้วและเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการให้เป็นอาคาร ATMPs แห่งชาติในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งศูนย์นี้จะวิจัยโรคข้อเข่าเสื่อม และได้มีการส่งงานวิจัยต่อคณะกรรมการจริยธรรม ATMPs แล้ว คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ในการปรับปรุงงานวิจัยให้มีความปลอดภัยต่อประชาชน และน่าจะได้การรองรับงานวิจัยภายในเดือนตุลาคม 2568 รวมทั้งได้ยื่นเอกสารเพื่อให้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาตรวจผลิตภัณฑ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และรอ อย. ลงพื้นที่ตรวจสอบต่อไป
ขณะที่ ศูนย์โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จะวิจัยโรคผิวหน้าเสื่อมตามวัย ซึ่งปัจจุบันงานวิจัยดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วและรอการอนุมัติ ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2568 จะมีการส่งตัวอย่างมาที่กรุงเทพฯ และจะมีการส่งเซลล์กลับไปศูนย์โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เพื่อทำการฉีดและรักษาต่อไป นอกจากการวิจัยทั้ง 2 โรคดังกล่าวแล้ว ในอนาคตจะมีการวิจัยโรคอื่นด้วย ได้แก่ การรักษาหมอนรองกระดูกเสื่อม, มะเร็งลำไส้ และฟื้นฟูการชะลอวัย
ส่วนแผนการซื้อที่ดินแปลงใหม่ในโซนพื้นที่สีม่วง (ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า) เพื่อใช้สำหรับก่อสร้างโรงงานผลิตยา เพื่อรองรับการเป็น “บริษัทเคมีเภสัชชีวภาพ (Bio-pharma Chemical Company)” คาดว่าจะดำเนินการซื้อที่ดินดังกล่าวภายในปี 2568 ซึ่งภายในโครงการนี้ จะประกอบไปด้วยอาคารหลายส่วน เช่น อาคารแลปผลิตเซลล์รากผม, อาคารโรงงานน้ำยาหล่อเลี้ยงเซลล์ ที่จะร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นหน่วยงานภาครัฐ และอาคารแลปการพัฒนาเซลล์ภูมิคุ้มกัน (NK Cells) เม็ดเลือดขาว เป็นต้น คาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 1 ปี 6 เดือน หรือเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เร็วที่สุดประมาณช่วงปี 2570
ขณะที่ บริษัท เมดีซ แฮร์ เรเนซองส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมแห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ได้มีการการลงทุนทำระบบ MEDEZE Plus Auto Matching Software ใช้งบลงทุนประมาณ 12 ล้านบาท โดยมีการใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์ความเข้าใจ และความคิดของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อแบรนด์ และกิจกรรมทางการตลาด ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการสำเร็จแล้ว
นอกจากนี้ ในส่วนของการลงทุนในระบบการจัดเก็บเซลล์ด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Cell Culture System) มูลค่า 400 ล้านบาท ปัจจุบันอาคารรองรับดำเนินการเสร็จแล้ว และรอเพียงนำระบบมาติดตั้ง โดยได้ “ชิบุยะ คอร์ปอเรชั่น” พัฒนาระบบเพาะเลี้ยงเซลล์ระบบอัจฉริยะให้ ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าไปแล้ว 40% คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ได้ภายในเดือนมีนาคม 2569 ก่อนจะเคลื่อนย้ายระบบมาประกอบที่ประเทศไทย และกำหนดดำเนินการใช้งานเชิงพาณิชย์ภายในต้นปี 2570
นายแพทย์วีรพล กล่าวต่อว่า ในปี 2568 ถือเป็นปีของการลงทุนของ MEDEZE เพื่อวางรากฐานของ Ecosystem ของระบบนิเวศทั้งหมดของผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง ทำให้มีผลกระทบที่เกิดจากการลงทุนเพียงครั้งเดียว (One-Time Effect) ทั้งจากการลงทุนการวิจัย, บุคลากร, ATMPs Sandbox, ที่ดิน, ธุรกิจต้นน้ำ, การประชาสัมพันธ์, การพูดคุยกับรัฐบาลเพื่อให้ได้รับการสนับสนุน และอื่น ๆ
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2568 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 2/2568 ที่มีรายได้จากการให้บริการรวม 197.64 ล้านบาท เนื่องจากอัตราการเข้ามาใช้บริการทรงตัวจากภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว และมีการใช้จ่ายน้อยลง แต่ในไตรมาส 4/2568 คาดว่าผลการดำเนินงานจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี เนื่องจากเป็นช่วงนิยมคลอดบุตร ทำให้มีการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดมากขึ้น ทั้งจากเลือดสายสะดือ และเนื้อเยื่อสายสะดือเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หลังประกาศงบไตรมาส 3/2568 บริษัทอาจพิจารณาปรับลดเป้าหมายรายได้รวมปี 2568 ลงเล็กน้อย จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายจะมีรายได้อยู่ที่ระดับ 1,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2567 ที่มีรายได้รวม 897 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกมีรายได้รวม 432 ล้านบาท
ด้านการขยายตลาดต่างประเทศ บริษัทเตรียมขยายตลาดไปยังประเทศฟิลิปปินส์ และจะขยายไปยังตลาดมองโกเลีย จากปัจจุบันที่มีบริการอยู่แล้วในตลาดสิงคโปร์ เวียดนาม เมียนมา และกัมพูชา โดยตั้งเป้าหมายขยายตลาดใหม่ให้ได้ 1-2 ประเทศต่อปี
นอกจากนี้ ในปี 2569 บริษัทคาดว่าธุรกิจหลักจะกลับมาเติบโต สอดคล้องกับเศรษฐกิจ และการลงทุนจะมีความชัดเจนมากขึ้น และปี 2570 จะเป็นปีที่ดีมาก เนื่องจากการขึ้นทะเบียนยาได้ และขายให้กับทุกโรงพยาบาล ซึ่งจากการลงทุนตั้งแต่ต้นและจะเริ่มดำเนินการทั้งหมด มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้รวมให้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 25% ต่อปี ทั้งนี้ หาก MEDEZE ได้ใบรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มากกว่า 10 ฉบับ คาดว่าภายในปี 2570 จะไม่มีการจ่ายภาษี (Tax) หรือเหลือเพียง 1% จากปัจจุบันอยู่ที่ 12%