
“เศรษฐกิจหมุนเวียน” โอกาสทางธุรกิจและกุญแจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
“เศรษฐกิจหมุนเวียน” โอกาสทางธุรกิจและกุญแจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Economy) ทั่วโลก แนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) ได้กลายเป็นกลไกสำคัญที่ภาคธุรกิจและภาครัฐไม่อาจมองข้าม เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ยังเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เติบโตควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
จาก “เส้นตรง” สู่ “หมุนเวียน”: การเปลี่ยนนิยามของมูลค่า
รศ.ดร.ขนิษฐา แต้มบุญเลิศชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม อธิบายว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน คือระบบที่ออกแบบให้ทรัพยากรหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อลดการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติและรักษาคุณค่าของวัสดุให้อยู่ในระบบยาวนานที่สุด แนวคิดนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก “เศรษฐกิจเส้นตรง” (Linear Economy) แบบดั้งเดิมที่มีกระบวนการแบบ ‘ผลิต-ใช้-ทิ้ง’ (Take-Make-Dispose)
หัวใจสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนแตกต่างจากการรีไซเคิลทั่วไปคือ การสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ในทุกขั้นตอน กล่าวคือ แทนที่มูลค่าของวัสดุจะลดลงเมื่อถูกนำไปรีไซเคิล ระบบหมุนเวียนจะมุ่งรักษามูลค่าเดิมและสร้างมูลค่าใหม่ให้เกิดขึ้นตลอดวงจร
โอกาสในทางปฏิบัติ: ลดต้นทุน เพิ่มคุณค่า
ในภาคอุตสาหกรรมไทยเริ่มมีโครงการนำร่องที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในธุรกิจโรงแรมที่มักเผชิญปัญหาขยะอาหาร (Food Waste) ปริมาณมหาศาล ซึ่งสามารถนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ได้ เช่น การลดของเสียที่แหล่งกำเนิด โดยใช้ภาชนะขนาดเล็กลง หรือ การสร้างมูลค่าจากของเหลือใช้ ผ่านแพลตฟอร์มรับอาหารคุณภาพดีที่เหลือไปจำหน่ายต่อในราคาพิเศษ
การปรับตัวเช่นนี้สร้างประโยชน์ให้ธุรกิจโดยตรง ทั้ง การลดต้นทุน ในการจัดการขยะ และอาจ สร้างรายได้เสริม จากการขายต่อวัสดุเหลือใช้ ที่สำคัญยังสอดคล้องกับทิศทางของโลกและหลักการ ESG (Environmental, Social, and Governance) ซึ่งช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและความยั่งยืนในระยะยาว
การสร้างระบบนิเวศ: จากนโยบายสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์จำเป็นต้องอาศัยการสร้าง ระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้ออำนวย โดยภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการออก กฎหมายและมาตรฐาน ที่ชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์รีไซเคิล รวมถึงการสร้าง แรงจูงใจทางการเงิน เช่น มาตรการภาษี เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกัน บทบาทของผู้ผลิตก็สำคัญไม่แพ้กัน เศรษฐกิจหมุนเวียนต้องเริ่มต้นตั้งแต่ การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) ให้ง่ายต่อการซ่อมแซมและแยกชิ้นส่วนเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบขนส่งของใช้แล้วกลับคืนสู่ผู้ผลิต และการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเรื่องการคัดแยก ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นมากกว่าการจัดการขยะ แต่คือการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)
กรณีศึกษา CPAXT: การจัดการ Food Waste ครบวงจร
มุมมองจากคนรุ่นใหม่อย่าง คุณทองธรรม์ ตันติสัจจธรรม จาก บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ที่เตรียมเข้าร่วมการประชุม One Young World Summit (OYW) เวทีระดับโลกที่รวมตัวผู้นำรุ่นใหม่เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาสังคม ได้สะท้อนว่า เศรษฐกิจหมุนเวียนเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยหลักการสำคัญคือ “ยืดอายุการใช้งานให้นานที่สุด และให้การรีไซเคิลเป็นทางเลือกสุดท้าย“
ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง “แม็คโครและโลตัส” CPAXT ได้นำแนวคิดนี้มาจัดการปัญหา Food Waste อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การทำงานร่วมกับเกษตรกรที่ ต้นน้ำ การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมใน กลางน้ำ และการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์จากของเหลือที่ ปลายน้ำ เช่น การผลิตปุ๋ยจากแมลงโปรตีน
เรื่องราวและแนวทางเหล่านี้ คือสิ่งที่ คุณทองธรรม์ เตรียมนำไปแบ่งปันในฐานะตัวแทนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) บนเวที One Young World Summit (OYW) 2025 ณ กรุงมิวนิก ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็น เวทีระดับโลกที่รวมตัวผู้นำรุ่นใหม่เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาสังคม โดยการประชุมปีนี้จะเน้น 5 ประเด็นท้าทายสำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจหมุนเวียน (The Circular Economy), การต่อต้านความเกลียดชัง (Anti-Hate), เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tech), การศึกษา (Education), และสันติภาพและความมั่นคง (Peace and Security) นับเป็นโอกาสสำคัญให้คนรุ่นใหม่ได้แลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรม เพื่อนำกลับมาสร้างประโยชน์ให้สังคมต่อไป.