SMO มั่นใจพื้นฐานแกร่ง ปักธงรายได้ปีนี้แตะ 9 พันลบ. ปีหน้าทะลุหมื่นล้าน

SMO มั่นใจพื้นฐานแกร่ง ปักธงรายได้ปี 68 แตะ 9,000 ล้านบาท ปี 69 ทะลุ 10,000- 12,000 ล้านบาท ล้านบาท เดินหน้าต่อยอดเงินระดมทุนขยายกำลังการผลิตเป็น 310 ตันต่อชั่วโมงในปีหน้า พร้อมลงทุนโรงงานแห่งใหม่นครศรีธรรมราช 800–900 ล้านบาท ดันกำลังการผลิตรวมแตะ 400 ตันต่อชั่วโมงปี 71 ชูจุดแข็ง “หุ้นเติบโตควบคู่เงินปันผลเด่น” สะท้อนความเป็นผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบและไฟฟ้าชีวภาพของไทย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(10 พ.ย.2568) บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันนี้เป็นวันแรกในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดย SMO เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) และผลพลอยได้ และผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยการบริหารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เริ่มจากคัดสรรวัตถุดิบ การจัดการผลิตที่มีมาตรฐาน ให้ได้ผลผลิตสูง และนำผลพลอยได้จากการผลิตมาสร้างเป็นพลังงาน

ปัจจุบันดำเนินงานผ่านโรงงาน 4 แห่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร และสระบุรี มีกำลังสกัดรวม 240 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง และกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 14.38 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) 12.7 เมกะวัตต์ มีช่องทางขายทั้งในและต่างประเทศ นับเป็นหนึ่งในผู้ผลิต CPO รายสำคัญของประเทศ

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน จะใช้ต่อยอดธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ลงทุนโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับ ESG และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

ด้านนายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. กลุ่มสมอทอง กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจและเสริมศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัท ด้วยความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานธุรกิจที่มีประสบการณ์ยาวนานในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน เป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบชั้นนำของประเทศ มีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ ก็มีส่วนช่วยในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน หลังจากการระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน ขยายธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน บริษัทพร้อมมุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ดูแลชุมชน และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องด้วยธรรมาภิบาลที่ดี และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

“บริษัทขอขอบคุณนักลงทุนและสื่อมวลชนที่ให้การสนับสนุนในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ที่ผ่านมา โดยเงินที่ได้รับจากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ขยายกำลังการผลิตและสร้างโรงงานแห่งใหม่ตามแผนที่วางไว้ โดยการจะขยายเพิ่มเป็น 310 ตันปาล์มสดต่อชั่วโมงปีหน้า เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตเพื่อและรองรับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ พร้อมย้ำเป้าหมายการเป็นหุ้น Growth Stock และ Dividend Yield สู งจากแผนการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อ สร้างการเจริญเติบโต และ ขยายกิจการ อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตและยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญระยะ1–2 ปีข้างหน้า และบริษัทยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย ผลตอบแทนจากเงินปันผลในอดีตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5% และยืนยันว่าจะจ่ายปันผลในปีนี้แน่นอน และคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตเข้าเป้า 9,000 ล้านบาท และกำไรจะเป็นไปตามคาด” นายกิตติพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม

ด้านนายกุศล ศรีเปารยะ ประธานเจ้าหน้าที่ริหารการเงิน กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานปี 2568 บริษัทคาดว่ารายได้รวมจะอยู่ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท ใกล้เคียงตามประมาณการเดิม และเติบโตต่อเนื่องจากการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ การควบคุมค่าใช้จ่าย และการลดภาระดอกเบี้ยจากเงินทุนที่ได้รับเพิ่มเติม โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2569 เพิ่มขึ้นแตะระดับ 10,000–12,000 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่อยู่ในระดับดีและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น

โดยในช่วงต้นปี 2569 บริษัทจะเดินเครื่องโรงงานขยายกำลังการผลิตที่สาขาพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จเกือบ 100% ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีกประมาณ 30% จากระดับ 240 ตันต่อชั่วโมง เป็น 310 ตันต่อชั่วโมง

นอกจากนี้บริษัทได้ลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งถือเป็น “โรงงานต้นแบบที่สมบูรณ์แบบที่สุด” ของ SMO ทั้งในด้านระบบการจัดการระบบหลังบ้านและมาตรฐาน ESG ครอบคลุมพื้นที่กว่า 210 ไร่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 800–900 ล้านบาท(เงินจากการระดมทุนไอพีโอ) โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/2571

สำหรับโรงงานใหม่ดังกล่าวจะเพิ่มกำลังการผลิตอีกราว 60 ตันต่อชั่วโมง ส่งผลให้รวมทั้งระบบ SMO จะมีกำลังการผลิตรวมประมาณจะอยู่ที่ 370 ตัน หรือประมาณ 400 ตัน ต่อชั่วโมงภายในปี 2571 ซึ่งจะช่วยสร้าง Economy of Scale และผลักดันกำไรสุทธิให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในระยะ 2 ปีข้างหน้า อีกทั้งแผนขยาย “ลานรับซื้อปาล์ม” เพิ่มอีก 13 แห่ง (ลานย่อย 10 แห่ง และลานใหญ่ 3 แห่ง) จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 50 แห่งทั่วภาคใต้ เพื่อรองรับการขยายตัวของโรงงานใหม่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว

Back to top button